ก.ข.ค.การเมือง
อยู่ไปทำไม UNESCO ไสหัวออกไป
"Since wars begin in the minds of men, it is in the minds of men that the defenses of peace must be constructed."
"ในเมื่อสงครามเริ่มเกิดที่ในใจของมนุษย์ก่อน ดังนั้นการปกป้องสันติภาพจึงต้องสร้างขึ้นในใจมนุษย์เช่นเดียวกัน"
อารัมภบทในกฎบัตรของยูเนสโก
......................................................
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผู้เขียนไม่ทราบจะยินดีหรือยินร้ายกันแน่กั บข่าวที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รก.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ หัวหน้าคณะผู้แทนในนำประเทศไทย ถอนตัวออกจากสมาชิกภาพของคณะกรรมการมรดกโลก
แต่ที่ทราบก็คือ นายสุวิทย์ถูกเกลี้ยกล่อมโดยรัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรีหรือใครก็ไม่แจ้งว่าอย่าเพิ่งถอนตัวเลย สู้คอยต่อสู้อยู่ข้างใน เพื่อใช้จิตวิญญาณของ MOU 2543 ของพรรคประชาธิปัตย์นำสันติภาพและบูรณภาพแห่งดินแดนกลับคืนมาสู่ประเทศไทยเสียก่อนดีกว่า หรืออย่างน้อยก็รอหลังเลือกตั้งให้มันรู้ดำรู้แดงกันเสียก่อนว่า ระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ใครจะปกป้องผลประ โยชน์และดินแดนของชาติได้ดีกว่ากัน ทั้งๆที่เวลานี้มันเหลวเป๋วไปแล้วด้วยความไร้ฝีมือและไร้สำนึกในความเป็นไทยของทั้งคู่
เมื่อตอนยูเนสโกตั้งใหม่เมื่อปี 1945 นั้น มีประเทศผู้ก่อตั้งอยู่ 20 ประเทศ และวัตถุประสงค์ของยูเนสโกก็เพื่อจะธำรงสันติภาพของโลกและความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ โดยใช้การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ
แต่ยังไม่ทันไร ยูเนสโกซึ่งเหมือนทารกยังไม่ทันหย่าน้ำนม ก็โกหกชาวโลกและลูบหัวประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่เก่าแก่มาหลายร้อยปีในสุวรรณภูมิโดยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ยูเนสโกเอาไทยไปเทียบกับประเทศเกิดใหม่ ยังไม่มีมนุษย์ที่ไหนรู้จักหรือได้ยินชื่อ โดยอวดอ้างคุณูปการของยูเนสโกว่า ยูเนสโกยึดมั่นในการแสวงหาสัจธรรม โดยไม่มีขอบเขตจำกัด เพื่อจะให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความรู้กันอย่างเสรี
(the unrestricted pursuit of objective truth and the free exchange of ideas and knowledge.")
และในการกระทำดังกล่าว ยูเนสโกก็ประสบความสำเร็จมิใช่ย่อย ด้วยการสอนให้ชาวนาประเทศมาลีอ่านออกเขียนได้ และสร้าง โรงเรียนประถมหลายแห่งในป่าของประเทศไทย(UNESCO taught farmers in Mali how to spell, built grammar schools in the jungles of Thailand )
ไม่ทราบว่าในนามของรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันได้กราบทบเท้าขอบพระคุณยูเนสโกไปหรือยัง ถ้ายัง รัฐบาลประชาธิปัตย์ควรรีบทำเสีย เพื่อยูเนสโกจะได้ช่วยให้สัจธรรมความจริงว่าด้วยเขาพระวิหารให้กับประเทศใบ้ไทยแลนด์ด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าชาวโลกจะหูแตกได้ยินแต่สัจธรรมของเขมรฮุนเซ็นอยู่แต่ฝ่ายเดียว
เมื่อตอนพันธมิตรประท้วงยูเนสโกเรื่องเอ็มโอยูและเขาพระวิหารใหม่ๆนั้น ศาสตราจารย์ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะผู้แทนไทยในคณะกรรมการมรดกโลกได้เสนอให้รัฐบาลไทยลาออกจากคณะกรรมการไปตั้งนานแล้ว เพราะเห็นว่าคณะกรรมการเอาเปรียบไทยอย่างไม่ลดละทุกเรื่อง จะอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์
แต่ตำนานของสหประชาชาติ ยูเนสโก และมรดกโลกกับประเทศไทยนี้ช่างเหมือนกับเรื่องมหาเศรษฐีกับขอทานเหลือเกิน
ยาจกจากประเทศไทยแสนจะซาบซึ้งในบุญคูณอันหาที่เปรียบมิได้ขององค์กรใหญ่ องค์กรรองและองค์กรย่อยทั้งสาม ปานประหนึ่งว่าถ้าขาดพระคุณอุ่นเกล้าจากสามองค์กรนี้แล้วประเทศไทยจะล่มจมเสียชื่ออับอายจนจะดูหน้าชาวโลกเขาไม่ได้
แม้กระทั่งคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองที่เห็นว่า แถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ปัทมะ เป็นโมฆะ จนป่านนี้กระทรวงต่างประเทศยังเก็บใส่ลิ้นชักไว้ ไม่กล้าส่งไปให้ยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกทราบ เพราะเกรงว่าคุณพ่อจะกระเทือนใจ
ผู้เขียนเคยเสนอว่า การแก้ปัญหามรดกและเขาพระวิหารง่ายนิดเดียว เพียงรัฐบาลเขียนจดหมายบอกไปว่า คำสั่งศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร และบัดนี้ชาวไทยได้แตกแยกกันยกใหญ่ อย่าว่าแต่ไทยและเขมรเลย เพราะฉะนั้นยูเนสโกและกรรมการมรดกโลก อย่าได้ทำตัวเป็นต้นเหตุต่อไปเลย เพราะมันเป็นการทำลายวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมเสรีภาพและความเข้าใจอันดีระหว่างเพื่อนบ้านแท้ๆ สู้ปล่อยให้ลิ้นกระทบฟันไปตามธรรมชาติดีกว่า อีกหน่อยก็รู้กันเองว่าใครเป็นหมู่เป็นจ่า
แต่กระทรวงประเทศก็หาได้แยแสไม่ แถมผู้เขียนขอร้องให้กระทรวงต่างประเทศช่วยบอกประชาชนชาวไทยให้ทราบข้อเท็จจริงว่ายูเนสโกนี่จะเป็นพระเจ้าซึ่งผู้ใดแตะต้องมิได้ก็หาใช่ไม่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และแม้กระทั่งกระจิ๋วสิงคโปร ต่างก็เคยลาออกจากยูเนสโกมาแล้วทั้งสิ้น ทำไมไทยจะออกบ้างไม่ได้
จนแล้วจนรอดกระทรวงต่างประเทศก็ยังเงียบเป็นป่าสาก แถมพูดจาสั่งสอนให้คนไทยเคารพยำเกรงสหประชาชาติและยูเนสโกปานประหนึ่งพระเจ้า
ฉบับหน้าผู้เขียนจะแปลเหตุผลที่อเมริกาลาออกจากยูเนสโกให้ฟัง หรือจะให้ดีท่านผู้อ่านดาวกระจายไปใช้กระทรวงต่างประเทศทำงานรับใช้ประชาชนไทยดูซะบ้าง
เชิญอ่านครับ
The State Department's announcement of this country's intention said the decision was made by President Reagan "on the recommendation of the secretary of state."
"That recommendation is based upon our experience that UNESCO:
"* Has extraneously politicized virtually every subject it deals with;
"* Has exhibited a hostility toward the basic institutions of a free society, especially a free market and a free press; and
"* Has demonstrated unrestrained budgetary expansion."
A West German spokesman said his country agrees with many of the U.S. criticisms of UNESCO but it would remain a member and try to change the agency through "intensive participation."
To that, a State Department official responded:
"UNESCO policies, for several years, have served anti-U.S. political ends. The Reagan administration has frequently advised UNESCO of the limits of U.S. toleration: for its misguided policies, its tendentious programs and its extravagant mismanagement.
"For nearly three years now, the administration has applied to UNESCO the same priorities that guide our relations to all multilateral organizations but UNESCO alone, among the U.N. system organizations, has not responded."
ขอโทษ ครับ วันนี้ไม่มีเวลาแปลให้จริงๆ ผู้เขียนจะรีบไปฟังพันธมิตรด่าคณะกรรมการมรดกโลกก่อน/*****
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น