บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปราสาทพระวิหาร 'อภิสิทธิ์' vs 'นพดล' และคนขายชาติ


โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 30 กรกฎาคม 2554 05:38 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การปะทะคามรมอย่างดุเด็ดเผ็ดมันระหว่าง 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' รักษาการ นายกรัฐมนตรี ศิษย์แม่พระธรณีบีบมวยผม กับ'นายนพดล ปัทมะ' อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลูกกะเป๋งทักษิณ ในกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ต่างก็กล่าวโทษกันไปมาว่าอีกฝ่ายเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยอาจต้องเสียดินแดน ให้กัมพูชานั้นได้สร้างความขบขันให้คนไทยจำนวนไม่น้อย
    
       เพราะหากย้อนไปดูถึงผลงานที่ทั้งสองคนทำไว้กับประเทศชาติก็ดูจะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก
    
       **'ติ้งเหล่' คนไทยหัวใจเขมร
    
       สำหรับ 'ติ้งเหล่' นพดลนั้นผลงานการยกแผ่นดินไทยให้เขมรมีให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยใน ช่วงที่เขานั่งในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช นั้น นายนพดลได้ทำข้อตกลงที่ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียน "ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก" ของกัมพูชา โดยฝ่ายกัมพูชาได้จัดทำ "แผนที่ฉบับใหม่" แสดงขอบเขตปราสาทพระวิหารประกอบคำขอขึ้นทะเบียน ขณะที่รัฐบาลไทยโดยนาย นพดล ในฐานะ รมว.การต่างประเทศ ก็แบะท่ายืนยันว่าพร้อมแสดงแผนผังบริเวณปราสาทที่ฝ่ายกัมพูชาจะใช้ยื่นต่อยู เนสโกขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมระบุว่ากรมแผนที่ทหารตรวจสอบบริเวณดังกล่าวอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีส่วนใดล้ำเข้ามาในดินแดนที่ไทยอ้างสิทธิ์ !! ซึ่งเท่ากับเขาเป็นตัวแทนประเทศไทยที่เสนอหน้าไปยืนยันว่าพื้นที่บริเวณดัง กล่าวนั้นเป็นของกัมพูชา ?
    
       ทั้งนี้ หากย้อนไปดูการปฏิบัติหน้าที่ของ รมว.ต่างประเทศ ของนายนพดล ปัทมะ ก็จะเห็นถึงการดำเนินการผลักดันให้กัมพูชาขึ้นทะเทียนปราสาทพระวิหารอย่าง เป็นขั้นเป็นตอน โดย ใน วันที่ 14 พ.ค. 2551นายนพดลได้เดินทางไปยังเกาะกง กัมพูชา เพื่อร่วมเปิดถนนสายที่ 48 กับนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และหารือถึงการทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เพื่อให้มีการบริหารและจัดการร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนับเป็นการดำเนินการที่เร่งรีบเพื่อให้กัมพูชาสามารถนำรายละเอียดเหล่า นี้ไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่จะมีขึ้นที่ประเทศแคนาดา ในเดือนกรกฎาคม 2551 ได้ทัน
    
       จากนั้นในวันที่ 22 พ.ค. 2551นายนพดล ก็ได้หารือกับ นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส โดยมีผู้แทนระดับสูงของยูเนสโกเข้าร่วมด้วย โดยครั้งนั้นไทยและกัมพูชามีข้อตกลงร่วมกันว่า ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ขณะที่กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร โดยฝ่ายกัมพูชาจะจัดทำแผนที่ฉบับใหม่แสดงขอบเขตปราสาทพระวิหารเพื่อใช้แทน แผนที่ฉบับเดิมที่กัมพูชาใช้ประกอบคำขอขึ้นทะเบียน
    
       แต่หลังจากนั้นก็เกิดกระแสวิจารณ์อย่างหนักว่าแผนที่ที่ทางกัมพูชา ยื่นให้ฝ่ายไทยนั้นรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยประมาณ 200 เมตร แต่นายนพดลก็ออกมาแก้เกี้ยวว่าเป็นแค่เรื่องของการถือแผนที่คนละฉบับเท่า นั้น แต่ต่อมาในวันที่ 5 มิ.ย. 2551กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ประกาศรับแผนที่ฉบับใหม่จากฝ่ายกัมพูชาที่จะ ใช้แทนแผนที่เดิมที่ยื่นไว้เมื่อปี 2549 และได้ขอความร่วมมือกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ตรวจสอบข้อมูลในภูมิประเทศจริงเพื่อความถูกต้องชัดเจน
    
       มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงดังกล่าวรัฐบาลไทยพยายามเร่งรีบดำเนินการเพื่อให้นำไปสู่การขึ้น ทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยใน วันที่ 16 มิ.ย. 2551สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย ก็ได้ให้ความเห็นชอบแผนที่ฉบับใหม่ตามที่กัมพูชาเสนอ และวันรุ่งขึ้น 17 มิ.ย.2551 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแผนที่ฉบับนี้ พร้อมทั้งมอบอำนาจให้ รมว.ต่างประเทศไปลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมกับ นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อยืนยันข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายตามที่ตกลงกันไว้ในการหารือที่กรุงปารีส ด้วย จากนั้นวันที่ 18 มิ.ย. 2551นายนพดลได้ลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็น มรดกโลกร่วมกับ นายอึง เซียน เอกอัครราชทูตกัมพูชา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
    
       แม้ว่าต่อมาทนายความของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จะได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียน ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด และในที่สุด วันที่ 28 มิ.ย.2551 ศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามที่พันธมิตรฯร้องขอ แต่นายนพดลและรัฐบาลนายสมัครก็ไม่ได้สนใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลแต่อย่าง ใด
    
       ว่ากันว่าการประกาศสนับสนุนการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ของกัมพูชาแบบสุดลิ่มทิ่มประตูของนายนพดลนั้นมีความไม่ชอบมาพากลและมีผล ประโยชน์ทับซ้อน โดยสม เด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เสนอสัมปทานธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยบริเวณรอยต่อ ไทย-กัมพูชาให้อดีตนายกฯทักษิณ เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
    
       ทั้งนี้ มีหลักฐานปรากฏชัดจากเอกสารลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ซึ่ง 'วิกิลีกส์' เว็บไซต์จอมแฉ นำมาเผยแพร่ในช่วงปี 2550 ซึ่งเอกสารดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในระดับที่ไม่ธรรมดาระหว่างสม เด็จฮุน เซน และทักษิณ พร้อมทั้งระบุถึงการแบ่งสรรผลประโยชน์จากการสำรวจและผลิตน้ำมันในพื้นที่ทับ ซ้อนทางทะเลของไทย-กัมพูชา โดย นายเกา คิม ฮอร์น เจ้า หน้าที่ระดับสูงกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา กล่าวว่า จะมีการแบ่งรายได้ในพื้นที่ใกล้ไทยมากที่สุด สัดส่วนไทย 80% กัมพูชา 20 % ส่วนพื้นที่ตรงกลางแบ่ง 50-50 และสัดส่วนไทย 20 กัมพูชา 80 สำหรับพื้นที่ใกล้ฝั่งกัมพูชา ขณะที่รายละเอียดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา กับนายแกรี ฟลาเฮอร์ตี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของเชฟรอน ในปี 2550 ก็ระบุว่า ผู้บริหารของเชฟรอนเห็นว่าพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยนั้น เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลก
    
       มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าข้อตกลงดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นก่อนปี 2550 คือก่อนที่ทักษิณจะถูกปฏิวัติยึดอำนาจ (19 ก..2549) และเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นในขณะที่ไทยและกัมพูชายังไม่มีการปักปันเขตแดนใน บริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด
    
       อีกทั้งยังมีเอกสาทางการทูต ในช่วงปี 2552 ที่ระบุว่า "การไปเยือนพนมเปญของทักษิณฯ ถูกนักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่มองว่า เป็นความต่อเนื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการใช้และกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”
    
       ดังนั้นการที่ 'นายนพดล ปัทมะ' จะปฏิเสธว่าตนและรัฐบาลนายสมัครไม่ได้สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนประสาท พระวิหารในลักษณะที่มีการรุกล้ำแผ่นดินไทยนั้นก็ล้วนแต่เป็นการ 'โกหกคำโต' เพราะสิ่งที่นายนพดลดำเนินการไปทั้งหมดนั้นล้วนมีหลักฐานชัดเจน !!
    
       **'มาร์ค' ดื้อตาใส ทำไทยเสียดินแดน
    
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์นั้นแม้จะได้ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ถึง 2 ปีกว่า คือตั้งแต่ ธ.ค.2551 และเพิ่งประกาศยุบสภาไปเมื่อ 9 พ.ค.2554 ที่ผ่านมา แต่ตลอดเวลานายกฯอภิสิทธิ์ก็หาได้ดำเนินการใดๆที่จะคัดค้านการขึ้นทะเบียน ประสาทพระวิหารของกัมพูชา หนำซ้ำยังยืนยันที่จะยึด MOU43 (บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา เรื่องการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543) ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 อันจะนำไปสู่การเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบพื้นที่ปราสาทพระวิหาร อีกทั้งเป็นแผนที่ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการ ผิดทั้งตำแหน่งของปราสาทพระวิหาร ผิดทั้งเส้นเขตแดนในแผนที่ และที่สำคัญยังเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำไว้ตั้งแต่ปี 2505 เพื่อหวังกินพื้นที่ดินแดนไทย
    
       เหตุที่นายอภิสิทธิ์ต้องทำหน้ามึนยึดข้อตกลงใน MOU43 ต่อไปทั้งที่มีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านอย่างต่อเนื่อง ก็เพราะบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นในสมัยที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็น ผู้ ลงนาม ดังนั้นการที่จะประกาศยกเลิก MOU43 ก็เท่ากับยอมรับความผิดพลาดของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้นายกรัฐมนตรีดีกรีออกซฟอร์ดอย่างอภิสิทธิ์ถึงกับทำทุกทางที่จะรักษา MOU43 เอาไว้เพื่อปกป้องพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาสังกัดอยู่
    
       ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ก็ได้พร่ำยืนยันว่า MOU43 ไม่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวทำให้ทหารไทย ไม่สามารถรักษาอธิปไตยในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพราะ ไม่สามารถเข้าไปใน พื้นที่ดังกล่าวได้ ขณะที่กัมพูชากลับส่งกองกำลังทหารพร้อมอาวุธหนักเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ใน พื้นที่ อีกทั้งทำให้คนไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาไม่สามารถเข้าไปในที่ดินของตนเอง ได้เนื่องจากถูกทหารเขมรขับไล่และเข้ามายึดพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
    
       จะเห็นว่า2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติแต่อย่างใด ไม่เคยดำเนินการคัดค้านหรือสั่งให้มีการผลักดันทหารและชาวบ้านกัมพูชาที่ รุกล้ำเข้ามาตั้งฐานทัพและหมู่บ้านในผืนแผนดินไทย ทั้งบริเวณรอบปราสาทพระวิหารและ แนวชายแดนไทยที่ติดกับกัมพูชา ปล่อยให้ทหารกัมพูชาเข้ามายึดที่นาของคนไทย ทั้งที่เป็นที่ดินที่มีโฉนดถูกต้องตามกฎหมาย นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงกับกัมพูชาทั้งๆ ที่ทหารเขมรเป็นฝ่ายยิงถล่มทหารไทยก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะเกิดการปะทะ
    
       ซ้ำร้ายยังปล่อยให้กัมพูชาเหิมเกริมเข้ามาจับ 7 คนไทยถึงในแผ่นดินเกิด และนำตัวไปดำเนินคดีที่กรุงพนมเปญ โดยที่รัฐบาลไทยไม่เคยคิดจะช่วยเหลือ ส่งผลให้ นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกเขมรจนถึงทุกวันนี้
    
       น่าแปลกที่นายอภิสิทธิ์นั้นมีท่าทีโอนอ่อนยอมศิโรราบต่อกัมพูชา เรื่อยมา และทุกครั้งที่ต้องมีการเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารใน เวทีโลกรัฐมนตรีของ รัฐบาลชุดนี้ก็ดูจะยอมเป็นลูกไล่และไม่เคยทันเกมกัมพูชาเลยสักครั้ง รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่เคยชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้นานาชาติได้รับรู้ ปล่อยให้กัมพูชาโจมตีกล่าวหาไทยอยู่ฝ่ายเดียว
    
       'ความผิดปกติ' ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้หลายฝ่ายอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์อาจจะคิด 'สวมตอ' หวังได้ผลประโยชน์ในธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยด้านที่ติดกับกัมพูชาเหมือนที่สม เด็จฮุน เซน เคยทำข้อตกลงไว้กับทักษิณ ชินวัตร เพราะมีข่าวว่ากลุ่มทุนในรัฐบาลชุดนี้ก็เตรียมที่จะเข้าไปลงทุนในพื้นที่ดัง กล่าวเช่นกัน
    
       ดังนั้น คงไม่เกินไปที่จะกล่าวว่า 'นายอภิสิทธิ์' มิได้มีพฤติกรรมที่ต่างจาก “นายนพดล” เลยแม้แต่น้อย

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 กรกฎาคม 2554 เวลา 20:20

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง