บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

บันทึกความจริง 7 คนไทยในเรือนจำเขมร !? โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

บันทึกความจริง 7 คนไทยในเรือนจำเขมร !? โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

โดยปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ณ วันที่ 4 มกราคม 2011 เวลา 1:18 น.

 คนไทยทั้ง 7 ต้องอยู่ในเรือนจำหลายวันอย่างน่าเห็นใจอย่างยิ่ง ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าคนไทยใน  7 คนนี้มีวาระซ่อนเร้นอื่นใดนอกจากต้องการพิสูจน์ความจริงว่าดินแดนไทยถูกรุกล้ำและยึดครองโดยทหารและชุมชนชาวกัมพูชาจริงหรือไม่?

สำหรับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แม้ได้รับรู้การที่กัมพูชารุกล้ำยึดครองพื้นที่เขาพระวิหาร หรือการที่ประชาชนจังหวัดสระแก้วถูกทหารและชุมชนกัมพูชายึดครองที่ทำมาหากิน ก็พยายามจะประสานกับภาคประชาชนเพื่อชวนไปสำรวจไปในพื้นที่ร่วมกัน โดยระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบหมายมาให้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างลับๆ

หากสิ่งที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ พูดเป็นความจริง มองในแง่ดีก็แปลว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่ได้เชื่อข้อมูลจากรายงานทางราชการเพียงอย่างเดียว สาเหตุสำคัญก็น่าจะมาจากกรณีที่ส่วนงานราชการยืนยันว่ายังไม่มีการถอนทหารไทยออกจากวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร  สวนทางกับสำนักข่าวต่างประเทศและนักข่าวไทยที่พยายามไปสำรวจในพื้นที่ดังกล่าวต่างยืนยันว่าทหารไทยถอยออกจากพื้นที่วัดแก้วสิขะคีรีสะวาราหมดแล้ว และมีทหารกัมพูชาได้แสดงอำนาจถึงขั้นยึดฟิล์มและกล้องของนักข่าวไทยในดินแดนประเทศไทยรอบเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร

หรืออีกนัยหนึ่งก็ต้องการให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ไปตรวจสอบกับภาคประชาชน หากข้อมูลของภาคประชาชนไม่ถูกต้องก็จะได้ไม่ต้องเคลื่อนไหวในประเด็นข้อเท็จจริงเหล่านี้ต่อไป

สำหรับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อได้ถูกนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ชักชวนให้ลงพื้นที่เขาพระวิหารผ่าน อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2553 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเห็นว่าหากขึ้นไปแล้วถูกจับจะกลายเป็นตัวประกันและทำให้กัมพูชาสามารถใช้อำนาจศาลในอธิปไตยในดินแดนไทยและทำให้กัมพูชาใช้สร้างอำนาจต่อรองสูงขึ้น  หรือหากไปแล้วเกิดเป็นพื้นที่สันติภาพไม่มีความขัดแย้งก็จะยิ่งเป็นการสร้างหลักฐานมากขึ้นเพื่อนำไปสู่แผนบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีสำหรับประเทศไทย

ด้วยเหตุผลนี้หากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเดินทางเข้าไปในพื้นแผ่นดินที่สงสัยว่ากัมพูชายึดครองอยู่ก็ต้องมีเงื่อนไขให้มีทหารไทยติดอาวุธติดตามไปด้วย และต้องเดินทางไปเพื่อแสดงอธิปไตยเหนือดินแดนไทยให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เช่น การเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาสูง เป็นต้น  ด้วยเหตุนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้ปฏิเสธการเดินทางไปแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างลับๆ ซึ่งชักชวนจากคนในรัฐบาล

เช่นเดียวกับที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังไม่เคลื่อนไหวกรณีที่ 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุม ก็เพราะเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 7 คนไทยที่ถูกจับกุมนั้นอยู่ในสภาพไม่ต่างจากตัวประกันที่กัมพูชาสามารถใช้อำนาจแบบบ้านป่าเมืองเถื่อน  จึงย่อมต้องทำอะไรด้วยความอดทนในการแสวงหาข้อเท็จจริง  และดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมอย่างที่สุด เพื่อให้ 7 คนไทยได้กลับมาเมืองไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด

สำหรับพื้นที่ซึ่งเป็นปัญหามาจากที่ดิน น.ส. 3 ซึ่งเดิมทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้กับนายเข็ม แพงแลงนูน ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2517  ซึ่งที่ดินดังกล่าวได้ขายไปให้นายเบ พูลสุข ต่อมานายเบ พูลสุขได้เสียชีวิตไปแล้วที่ดินจึงตกอยู่กับลูก ซึ่งที่ดินบริเวณนี้ปัจจุบันอยู่ บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว  และได้ร้องเรียนกับหน่วยงานราชการว่ากัมพูชาได้รุกเข้ามายึดที่ทำมาหากินของราษฎรโดยที่ข้าราชการและนักการเมืองไม่มีใครใส่ใจ  และทำให้ 7 คนต้องเดินทางไปพิสูจน์ความจริง โดยนายวีระ สมความคิด เป็นคนที่เคยไปถูกจับโดยทหารกัมพูชาในบริเวณดังกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคม 2552  ส่วนนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ได้แจ้งว่าทำภารกิจนี้โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีรับรู้โดยตลอด จนอาจเป็นที่มาในการสร้างความมั่นใจให้กับคณะเดินทาง  แต่ก็ต้องถูกทหารกัมพูชาจับกุมไปในที่สุด

ที่ต้องเสียความรู้สึกก็ตรงที่เจ้าหน้าที่และนักการเมืองไทยด่วนสรุปไปล่วงหน้าว่าคนไทยทั้งหมด 7 คนรุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชาตั้งแต่วันแรก ทั้งๆที่ยังไม่สืบค้นอย่างละเอียด ถึงขนาดทำให้รายงานจากวันแรกๆที่ระบุว่าคนไทย 7 คน รุกเข้าไปในกัมพูชาถึง 1.2 กิโลเมตร โดยอ้างตำแหน่งพิกัด TA 527222 จากฝ่ายกัมพูชา และรัฐบาลไทยก็ได้แถลงข่าวสอดรับทั้งๆที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554 กระทรวงการต่างประเทศได้สรุปรายงานให้กับนายกรัฐมนตรีใหม่ว่า 7 คนไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา 55 เมตร ซึ่งแตกต่างจากที่ให้สัมภาษณ์ทางสาธารณะครั้งแรกถึง 21 เท่าตัว

ถือเป็นความชุ่ยระดับโลก!!!

การเรียกร้องให้เปิดวีดีโอคลิปให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดที่ใช้เวลามาถึง 4 วัน และในที่สุดก็ได้มาปรากฏในยูทูปวันที่ 3 มกราคม 2554 ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ทำให้ได้รู้ว่าความเป็นจริงคืออะไร?

อย่างน้อยที่สุดทำให้เราได้ทราบว่าความพยายามในการหยิบบางคลิปวีดีโอบางท่อน โดยการอ้างเพียงคำพูดของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ว่าให้แจ้งนายกรัฐมนตรีทราบว่าได้ข้ามมายังฝั่งกัมพูชาแล้วนั้นเป็นเพียงความจริงเพียงครึ่งเดียว  โดยไม่เคยได้ตรวจสอบในคลิปวีดีโอต่อเนื่องว่าแท้ที่จริงแล้วนายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ได้โทรศัพท์อธิบายเพิ่มเติมในเวลาต่อมาว่าคำว่าข้ามมาฝั่งกัมพูชาแล้ว หมายถึง “กำลังเดินทางไปหลักเขตที่ 46 อยู่ในดินแดนไทยแต่ชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่อาศัย”

การที่คนไทยทั้ง 7 เดินไปจนกว่าจะถูกจับนั้นอาจไม่คาดคิดว่าจะถูกจับจริง หรือคิดว่าถูกจับจริงก็น่าจะสามารถรอดกลับมาได้เหมือนกับที่นายวีระ สมความคิดได้เคยถูกจับกุมมาแล้ว แต่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นประเด็นที่ว่าก่อนถึงหลักเขตที่ 46 คนไทยถูกจับกุมโดยทหารกัมพูชาในดินแดนไทยได้จริงหรือไม่?

ความเป็นจริงควรจะสืบค้นว่าคนไทยเหล่านี้รุกล้ำดินแดนกัมพูชาจริงหรือไม่จากภาพที่เห็นเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมความเป็นจริง ไม่ใช่จากคำพูดทางโทรศัพท์ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ หรือคนอื่นๆ ซึ่งไม่ได้พกเครื่องมือหาพิกัดดาวเทียมที่จะสามารถรู้ได้ว่าตัวเองเข้ามาในดินแดนกัมพูชาจริงหรือไม่?  โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้หลักเขตแดนทางบกเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ที่มีโอกาสถูกเคลื่อนย้ายและมีความไม่แน่นอนสูง

ดูตามเส้นทางจากวีดีโอคลิปแล้ว เชื่อได้ว่าทั้ง 7 คน พยายามจะเดินทางไปที่หลักเขตที่ 46 และโดยจอดรถที่ถนนศรีเพ็ญ แล้วเดินข้ามมาตามคันนาลงมาทางทิศใต้เลยที่ดินของนายเบ พูลสุขออกมาอีกจนสุดคันนา  แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนน K 6 ไปยังทิศตะวันตกและแน่นอนว่ายังไปไม่ถึงหลักเขตที่ 46 ก็ต้องมาเผชิญกับด่านทหารกัมพูชาที่จับกุมเสียก่อน

ที่พยายามเรียกร้องว่ารัฐบาลไม่ควรจะด่วนสรุปว่าคนไทยรุกล้ำกัมพูชาก็เพราะเหตุว่า หัวใจสำคัญในประเด็นนี้ก็คือ “การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ และยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา” ดังนั้นจึงย่อมยังไม่สามารถสรุปได้ว่าคนไทยทั้ง 7 นั้นล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชาแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หลักเขตที่ 46, 47, และ 48 แม้แต่ขั้นตอนการตกลงกันระหว่างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา (เจบีซี) ก็ยังตกลงกันไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้วจะเร่งสรุปไปได้อย่างไรว่าคนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาระหว่างหลักเขตที่ 46 – 47 ไปประมาณ 55 เมตร เพราะความเป็นจริงหลักเขตที่ 46 ที่ถูกต้องก็อาจจะรุกเข้าไปในดินแดนกัมพูชามากกว่านี้ก็ได้ในการเจรจาท้ายที่สุดซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา  ดังนั้นไม่ใช่ใครก็ได้ในรัฐบาลชุดนี้เร่งรีบมาสรุปว่า 7 คนไทยรุกเข้าไปในเขตแดนกัมพูชาแล้วในเวลานี้


ยังไม่นับวิธีการลากเส้นตรงจากหลักเขตที่ 46 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปยังหลักเขตที่ 45 เพื่อเป็นเขตแดนไทย-กัมพูชานั้น แม้แต่หลักเขตที่ 45 ในเวลานี้ก็ยังมี 2 หลักเขต  หลักเขตหนึ่งอยู่ในดินแดนกัมพูชา อีกหลักเขตหนึ่งมีการเคลื่อนย้ายเข้ามากินลึกเข้ามาในดินแดนไทยเลยเข้ามาจนเกินแนวถนนศรีเพ็ญซึ่งสร้างมาจากภาษีอากรของประชาชน ซึ่งการจัดทำหลักเขตที่ 45 เอง ก็ยังไม่มีการทำประชาพิจารณ์ว่าประชาชนจะเกิดความเสียหายสร้างความเดือดร้อนกับประชาชนอย่างไร และก็ไม่แน่ว่าจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยในท้ายที่สุด ดังนั้นก็ยิ่งไม่ควรจะเร่งสรุปว่าคนไทยรุกเข้าไปในกัมพูชาแล้ว


โดยเฉพาะรายงานของกองกำลังบูรพาก็มีข้อมูลและหลักฐานอยู่ชัดเจนแล้วว่า บริเวณหลักเขตที่  46 - 47 มีชุมชนหมู่บ้านเขมรอพยพรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยเพิ่มมากขึ้นจำนวนมาก จนมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนบริเวณนี้อยู่มากกว่า 87 ไร่ ใช่หรือไม่?  เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจะสรุปว่าคนไทยเดินผ่านรุกเข้าไปในดินแดนกัมพูชาได้อย่างไร  ทั้งๆที่ในความเป็นจริงชุมชนและทหารกัมพูชาต่างหากที่เป็นฝ่ายยึดครองดินแดนไทย

 เวลาทหารและชุมชนชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามายึดครองดินแดนไทย และแสดงอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณเขาพระวิหารเลยแนวขอบหน้าผาซึ่งเป็นสันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติถาวรนั้นชัดเจนนั้น สามารถมองเห็นด้วยตาว่ากัมพูชารุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย โดยที่คนไทยเข้าไปไม่ได้   แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับบอกว่าประเทศไทยยังไม่เสียดินแดนเพราะรัฐสภายังไม่ผ่านความเห็นชอบในการจัดทำหลักเขตแดน  โดยไม่เคยจับคนเขมรเหล่านั้นขึ้นศาลนำมาลงโทษ หรือผลักดันออกไปจากดินแดนไทย

แต่ทีเวลาคนไทยคณะหนึ่งเดินทางไปสำรวจในหลักเขตที่ 46 ซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ระหว่างไทย-กัมพูชาว่าควรอยู่ที่ไหน กลับปล่อยให้ทหารกัมพูชามาจับคนไทยไปลงโทษโดยศาลกัมพูชา แล้วรัฐบาลไทยก็ยังซ้ำเติมให้อีกว่า 7 คนไทยเป็นฝ่ายผิด

การตัดสินใจที่เป็น 2 มาตรฐานข้างต้นแสดงให้เห็นว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 เป็นโทษมากกว่าเป็นคุณสำหรับวิธีการตัดสินใจแบบรัฐบาลไทย  สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องยกเลิกโดยเร็วที่สุด!!!

นายกษิต ภิรมย์ เพิ่งจะมีข้อตกลงกันกับกัมพูชามาไม่นานนี้เองว่าหากคนไทยหรือกัมพูชารุกล้ำดินแดนซึ่งกันและกัน จะใช้วิธีการเจรจาโดยไม่ใช้กระบวนการศาลของตัวเองมาตัดสิน นายฮุน เซน ยังตระบัดสัตย์หน้าตาเฉย แล้วเป็นเช่นนี้ยังจะบ้าจี้เดินตามเกมของกัมพูชาให้เสียศักดิ์ศรีประเทศชาติอยู่อีกทำไม?

เมื่อทั้งรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยต่างประสานเสียงเดียวว่าคนไทยรุกเข้าไปในกัมพูชา แล้ว  7 คนไทยจะเหลืออะไรให้สู้ในคดีความนอกจากรอรับโทษจากศาล และหวังพึ่งเมตตาในวันข้างหน้าจากรัฐบาลกัมพูชา และขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา

นอกจากนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยจะด่วนสรุปว่าคนไทยรุกล้ำเส้นเขตแดนกัมพูชาแล้ว  ยังยอมรับอำนาจของศาลกัมพูชาทั้งที่เคยตกลงกันแล้วจะไม่นำคนที่รุกล้ำขึ้นศาล   และยังต้องไปขอพึ่งการพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาอีก มันจะถูกต้องแล้วหรือสำหรับท่าทีของรัฐบาลไทยที่มีต่อคนไทย 7 คน ที่ต้องการพิสูจน์ทราบหลักเขตแดนเพื่อการปกป้องอธิปไตยของชาติ ?

ที่จริงหากรัฐบาลดำเนินการก่อนหน้านี้ในการยกเลิกข้อผูกพันแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และผลักดันทหารและชุมชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนไทยมาก่อนหน้านี้ ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียใจเหมือนกับวันนี้ !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง