บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวพาเครียด กับกระทรวงต่างประเทศไทย ( ใจเขมร )


เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม เว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่เรื่อง "เหตุผลและความจำเป็นที่ไทยต้องไปศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ในคดีปราสาทพระวิหาร (อีกครั้ง)"
ระบุว่า ด้วยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 ตามบทบัญญัติของข้อ 60 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และกัมพูชาได้ยื่นคำขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ตามข้อ 41 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วย

เพื่อเป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สาธารณชนไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงขอเรียนชี้แจงเกี่ยวกับการมีคำขอให้ศาลฯตีความคำพิพากษาและขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของกัมพูชาดังกล่าว ดังต่อไปนี้

- การยื่นคำขอของฝ่ายกัมพูชาให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาฯ เป็นการใช้สิทธิตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งบัญญัติว่า
"คำพิพากษาของศาลฯถือเป็นที่สุดและไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ในกรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษาศาลฯจะต้องตีความตามคำขอของคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"

การมีคำขอให้ศาลฯตีความในครั้งนี้ เป็นกรณีที่กัมพูชาอ้างว่า ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาไว้เมื่อปี 2505 กัมพูชาในฐานะคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในคดีดังกล่าว จึงใช้สิทธิตามข้อบทนี้ ขอให้ศาลฯตีความในส่วนที่เกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาที่ศาลฯได้เคยพิพากษาไว้แล้วว่า "ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา"

- ประเด็นที่กัมพูชาขอให้ศาลฯตี ความ คือ กัมพูชาขอให้ศาลฯตัดสินว่า พันธกรณีของไทยที่จะต้อง "ถอนกำลังทหารหรือตำรวจ หรือผู้รักษาการณ์ หรือผู้ดูแลอื่นๆ ที่ประเทศไทยได้วางไว้ที่ปราสาท หรือในพื้นที่ใกล้เคียงในดินแดนของกัมพูชา" เป็นผลมาจากพันธกรณีทั่วไปของไทย ที่จะต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนกัมพูชา ซึ่งดินแดนนั้นถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียง โดยเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งศาลฯใช้เป็นพื้นฐานของคำตัดสิน
กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนว่า การมีคำขอให้ศาลฯตีความตามข้อบทนี้ มิใช่เป็นการฟ้องคดีข้อพิพาทคดีใหม่ ทั้งนี้ การขอให้ศาลฯตีความจะกระทำภายในระยะเวลาเท่าใดก็ได้ เพราะธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมิได้ระบุว่า คำขอตีความจะต้องกระทำภายในระยะเวลาเท่าใด

- อีกคำถามหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคำขอของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยมิได้ยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว ประเทศไทยจะต้องไปต่อสู้คดีในเรื่องนี้อีกหรือไม่
กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนชี้แจงว่า โดยที่คำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาเดิมตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาลฯ มิใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นคำขอที่อยู่ในกรอบของคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นคดีที่ไทยและกัมพูชาได้ยอมรับเขตอำนาจศาลฯในคดีดังกล่าวไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อกัมพูชายื่นคำขอต่อศาลฯขอตีความคำพิพากษาดังกล่าว ประเทศไทยจะปฏิเสธไม่ไปโต้แย้งคำขอของกัมพูชาที่ศาลฯก็สามารถทำได้ แต่จะเป็นผลให้ศาลฯสามารถพิจารณาบนพื้นฐานของคำขอ คำให้การ และเอกสารประกอบของฝ่ายกัมพูชาฝ่ายเดียวได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 53 ของธรรมนูญศาลฯ โดยศาลฯไม่มีโอกาสรับรู้ รับทราบและพิจารณาข้อโต้แย้งหลักฐานและเหตุผลต่างๆ ของฝ่ายไทย อันอาจเป็นผลให้คำวินิจฉัยตีความของศาลฯเป็นคุณแก่ฝ่ายกัมพูชาและส่งผลเสียกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่า คำวินิจฉัยของศาลฯในเรื่องนี้จะมีผลผูกพันคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตามข้อ 59 ของธรรมนูญศาลฯ

กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำว่า ในการที่ไทยจะไปต่อสู้คดีในศาลฯครั้งนี้ มิใช่การยอมรับเขตอำนาจศาลฯใหม่ แต่เป็นเรื่องของการตีความคำพิพากษาเก่าที่ผูกพันทั้งไทยและกัมพูชา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง