บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร: ปัญหาและข้อเสนอแนะ (ฉบับสรุปย่อ)

โดย Suwanchai Plc เมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 19:43 น.
         คณะกรรมการมรดกโลกในสมัยประชุมที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนนาดา  เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  โดยให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้าย ให้ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  ถึงแม้คณะผู้แทนฝ่ายไทยได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ต่อคณะกรรมการมรดกโลกทั้งในสมัยประชุมดังกล่าวและในสมัยประชุมที่ 33  ณ  เมืองเซบีญา  ประเทศสเปน  แต่ไม่บังเกิดผล 
        กัมพูชาได้ยื่น รายงานสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารพร้อมแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ต่อศูนย์มรดกโลกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาอนุมัติในการสมัยประชุมที่ 34  ณ เมืองบราซิเลีย  ประเทศบราซิล ช่วงวันที่  25 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553  แต่ปรากฏว่าศูนย์มรดกโลกได้จัดทำเอกสาร WHC-10/34.COM/7B.Add.3  ซึ่งรายงานสรุปสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารตามรายงานของกัมพูชาและส่ง ให้กรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องในวันที่  27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ทั้งๆ ที่ตามกฎขั้นตอนการปฏิบัติของคณะกรรมการมรดกโลกในข้อ 45  ได้กำหนดให้เอกสารที่เกี่ยวกับวาระการประชุมต้องส่งให้กรรมการมรดกโลกและผู้ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยหกสัปดาห์ก่อนเริ่มสมัยการประชุม  ไทยซึ่งมีนายสุวิทย์  คุณกิตติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนได้ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวออกไป ก่อน  โดยมีเหตุผลที่สำคัญคือแผนบริหารจัดการที่กัมพูชาเสนอมีการกำหนดเขตกันชน (Buffer zone) ที่ไม่ชัดเจนซึ่งอาจรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย  จึงควรรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC)  ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน   ในขณะที่กัมพูชาซึ่งมีนายซกอานเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนยืนยันให้ที่ประชุม พิจารณาอนุมัติแผนบริหารจัดการดังกล่าว  ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้  ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ประธานกรรมการมรดกโลกชาวบราซิลได้เข้ามาไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ โดยให้เลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวไปในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้ง ต่อไป
        ในวันที่ 25–27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554  ได้มีการประชุมหารือระหว่างไทยกับกัมพูชาที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก  กรุงปารีส  ในเรื่องแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร  แต่ก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ  ได้  ถึงแม้นางอิรินา โบโควา  ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้เข้ามาช่วยเรื่องการเจรจาของทั้งสองฝ่ายก็ตาม  ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก  ในสมัยประชุมที่ 35  ณ กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส  ช่วงวันที่  19–29 มิถุนายนพ.ศ. 2554   โดยเรื่องปราสาทพระวิหารได้จัดอยู่ในวาระที่  7B  ลำดับที่  62  และคาดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะพิจารณาเรื่องกล่าวในวันที่  23  หรือ  24   มิถุนายนนี้           
        แผน บริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเสนอนั้นได้จัดทำโดย ดร.ดิเวย์  กัพต้า  ชาวอินเดียซึ่งเป็นสถาปนิกการอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการมรดก  และเคยได้รับมอบหมายจาก ICOMOS ในการเตรียมรายงาน 2007 ICOMOS การประเมินการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  เป็นที่น่าสังเกตว่าแผนบริหารจัดการนี้ไม่ได้จัดทำโดยชาวกัมพูชา  ทั้งๆ ที่กัมพูชาอ้างตลอดมาว่าปราสาทพระวิหารเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศตน  แต่กลับให้ชาวอินเดียเป็นผู้จัดทำแผนให้   แผนบริหารจัดการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 บท  มีจำนวนทั้งหมด 115 หน้า  และมีเนื้อหาเฉพาะส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน ดังต่อไปนี้

        บทที่ 1 ความเป็นมาและวิธีการ  มีข้อความในข้อ 1.1 ความเป็นมา หน้าที่ 2  กล่าวว่า  “ภาย ใต้สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม  ค.ศ. 1904 และ 1907  เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับไทยตามเทือกเขาดงรักได้ถูกกำหนดขึ้น  ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1963  ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก  ปราสาทพระวิหารและบริเวณข้างเคียงได้กลับมาอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”  ข้อ ความดังกล่าวอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีความ ชัดเจน  และทั้งสองประเทศไม่มีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหารแต่อย่าง ใด  ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคณะผู้แทนฝ่ายไทยที่จะต้องชี้แจงให้คณะกรรมการมรดก โลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
        บทที่ 2  มรดกทางวัฒนธรรมและความสำคัญของปราสาทพระวิหาร  มีข้อความในข้อ 2.3 สถาปัตยกรรมของปราสาทพระวิหาร  หน้าที่ 9  ตอนหนึ่งกล่าวว่า  ปราสาทสามารถเข้าถึงได้สองทางโดยผ่านบันไดใหญ่  ทางหนึ่งจากทิศตะวันออก  และอีกทางหนึ่งจากทิศเหนือ  จะเห็นว่าผู้จัดทำแผนเขียนในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่ามีบันไดทางขึ้น ใหญ่สองทาง  โดยเลือกที่จะกล่าวถึงบันไดทางทิศตะวันออกก่อนบันไดทางทิศเหนือ  ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าบันไดทางทิศตะวันออกเป็นบันไดทางขึ้นหลัก  แต่ที่จริงแล้วบันไดทางทิศตะวันออกเป็นทางขึ้นที่เรียกกันว่า “ช่องบันไดหัก”  โดยเป็นบันไดหินที่มีขนาดเล็กและทางขึ้นโดยบันไดดังกล่าวมีความสูงชันมาก  ใช้เป็นทางขึ้นมาจากฝั่งเขมรต่ำซึ่งก็คือกัมพูชาในปัจจุบัน  บันไดทางทิศเหนือต่างหากที่เป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมีขนาดใหญ่และอยู่ด้าน หน้าตัวปราสาท  บันไดดังกล่าวเป็นบันไดหินช่วงแรกกว้างถึง 8 เมตร และยาว 78.50 เมตร  ช่วงที่สองกว้าง 4 เมตร และยาว 27 เมตร   บันไดดังกล่าวใช้เป็นทางขึ้นจากฝั่งไทย  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในประเด็นดังกล่าวให้ตรงกับข้อ เท็จจริง  และสร้างความเข้าใจในเรื่องบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารให้กับคณะกรรมการมรดก โลกและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยทำให้เกิดคำถามว่าแล้วทำไมปราสาทพระวิหารจึงเป็นของกัมพูชาใน เมื่อทางขึ้นหลักมาจากฝั่งไทย  อันจะเป็นประโยชน์ต่อการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อ ไป
        บทที่ 3  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ  มีการกำหนดวิสัยทัศน์ในข้อ 3.1 หน้าที่ 31  โดยกำหนดบางส่วนว่า  “เข้าถึงได้ทุกคน”  และ “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  แต่ ปรากฏว่าหลังจากปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว  ในช่วงที่กัมพูชาเปิดปราสาทพระวิหารให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้  กัมพูชากลับไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าเยี่ยมชมปราสาทพระวิหาร  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง  “เข้าถึงได้ทุกคน”   และยิ่งไปกล่าวนั้นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกยังเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการความขัดแย้งและการสู้รบกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณเขาพระ วิหารและบริเวณใกล้เคียง  จนมีผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นทหารและพลเรือนทั้งไทยและกัมพูชาจำนวนมาก  นอกจากนี้ในบางครั้งกัมพูชายังใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่ตั้งของกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับไทย  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  อย่าง ชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นดังกล่าวซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กัมพูชาได้ กำหนด  ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน  และเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการแก้ไข   
        บทที่ 4  การบ่งชี้ประเด็นและข้อแนะนำ  มีข้อความในข้อ 4.1  ทรัพย์สินของสถานที่  หน้าที่ 40  กล่าวบางส่วนว่า  สถานที่มรดกโลกที่ได้ขึ้นทะเบียนได้ถูกแสดงใน RGPP  ที่ล้อมปิดดังแสดงในหน้า 52  เขตที่แตกต่างตามที่แสดงใน RGPP เป็นเขตชั่วคราว  เพื่อสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันของสถานที่”  และ “อย่าง ไรก็ตามกันชนไม่ได้รวมพื้นที่ทางทิศเหนือและตะวันตกของปราสาท  นี้ควรได้รับพิจารณาอย่างชั่วคราวเพราะการกำหนดเขตแดนขั้นสุดท้ายของกันชนจะ ได้ถูกกำหนดตามผลของ JBC ระหว่างกัมพูชากับไทย  RGPP (Revised Graphic Plan of the Property)  ที่กล่าวถึงนั้น  เป็นแผนผังเดิมที่กัมพูชาได้ยื่นต่อศูนย์มรดกโลก  และคณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาแล้วตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2551 ในสมัยประชุมที่ 32  และได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายให้ ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553   แต่จนถึงปัจจุบันกัมพูชาก็ยังไม่ได้ส่งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายดังกล่าว  และยังคงใช้แผนผัง  RGPP  อ้างอิงแทนแผนที่ในแผนบริหารจัดการฉบับนี้    
ใน แผนผัง  RGPP นั้น  ได้มีการกำหนดเขตกันชนโดยใช้เพียงสัญญาลักษณ์เลข 2  แทนโดยไม่มีการลากเส้นแสดงอาณาเขตใดๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งหากดูจากแผนผัง  RGPP  จะพบว่าเขตกันชนที่กำหนดไม่มีความชัดเจนเลย  จึงไม่ทราบได้ว่าครอบคลุมถึงพื้นที่บริเวณใดบ้าง  และรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยหรือไม่  ดังนั้นคณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงไม่ควรรับแผนบริหารจัดการดังกล่าว  และควรเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการดังกล่าว ไปก่อนจนกว่ากัมพูชาจะได้จัดทำแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายตามมติที่ 32 COM 8B.102  ที่มีการกำหนดเขตต่างๆ ในแผนที่ให้มีความละเอียดถูกต้องชัดเจน  หลังจาก JBC ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว  นอกจากนี้คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรใช้ประโยชน์ข้อความดังกล่าวข้างต้น  ชี้ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักว่า  กัมพูชาเองก็ได้ยอมรับว่าบริเวณปราสาทพระวิหารยังมีความไม่ชัดเจนของเขตแดน ระหว่างไทยกับกัมพูชา  และต้องรอจนกว่า JBC จะได้กำหนดเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน
        บทที่ 5  การอนุรักษ์และโบราณคดี – การประเมินและยุทธ์ศาสตร์  มี ข้อความในข้อ 5.4 การประเมินและการแทรกแซงเพื่อการอนุรักษ์  หน้าที่ 75  กล่าวตอนหนึ่งถึงบันไดใหญ่และลานนาคราช  รวมทั้งตลาดและสระน้ำ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ผู้จัดทำแผนได้ยอมรับว่าบันไดทางขึ้นทางทิศเหนือเป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมี ความยิ่งใหญ่  แต่ผู้จัดทำแผนให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนขั้นของบันไดผิด  สำหรับตลาดที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงตลาดที่ตั้งอยู่ในฝั่งไทยก่อนถึงบันไดทาง ขึ้นดังกล่าว  ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วตลาดนี้ชุมชนกัมพูชาพึ่งเริ่มเข้ามาตั้งร้านค้าเพื่อ ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2541  ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างที่ผู้จัดทำแผนเข้าใจ  ส่วนสระน้ำที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงสระตราวซึ่งเป็นสระน้ำอยู่ในฝั่งไทย  โดยสระตราวนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มโบราณสถานประกอบของปราสาทพระวิหารที่อยู่ใน ฝั่งไทย เช่นเดียวกับ  ผามออีแดง  สถูปคู่  และแหล่งตัดหินที่ไปสร้างปราสาท  เป็นต้น  แต่ผู้จัดทำแผนกลับไม่ได้ให้ความสำคัญแก่สระตราว  และส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่ในฝั่งไทยเลย  สิ่งที่กล่าวทั้งหมดข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดทำแผนยังมีความรู้และ ความเชี่ยวชาญไม่เพียงพอเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและเขาพระวิหาร  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในส่วนนี้ให้ตรงกับข้อเท็จจริง   
        บทที่ 6  การดำเนินการแผนงาน   มี ข้อความในข้อ 6.1 การคุ้มครองที่บัญญัติตามกฎหมาย  หน้าที่ 97  กล่าวถึงกฎหมายต่างๆ ที่กัมพูชาประกาศใช้สำหรับการคุ้มครองปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ  ดังนั้นหากไทยยอมรับแผนบริหารจัดการนี้  กัมพูชาอาจนำมากล่าวอ้างได้ว่าไทยยอมรับสิ่งที่กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้ ได้   จากการตรวจสอบพบว่า  พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2003  อนุกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งป่าที่คุ้มครองสำหรับการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และสัตว์ “พระวิหาร”  ค.ศ. 2002  และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2006     มีการกำหนดอาณาเขตที่ล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระ วิหาร ค.ศ. 2006  ในมาตรา 4  ได้กำหนดเขต 1  เขต 2  และเขต 3  ตามแผนที่ประกอบที่เกินเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นนี้เป็นเหตุผลประกอบการคัดค้านแผนบริหาร จัดการดังกล่าว
        บทที่ 7  โปรแกรมที่เสนอสำหรับการปฏิบัติ  ในบทนี้ไม่มีเนื้อหาส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน
          ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านโดยทั่วไปที่จะได้ทราบถึง รายละเอียดที่สำคัญของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในส่วนที่มีผลกระทบต่อ ประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน  รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คณะผู้แทนฝ่ายไทยในนำไปใช้ประกอบการคัดค้าน แผนบริหารจัดการดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง