บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สิ่งที่อดีตที่ปรึกษาของ ฮุน เซน พึงกระทำ!!!


 
ทันที ที่ทราบผลว่าพรรคเพื่อไทย ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดของไทย ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและเพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นก็แทบจะสะกดความดีใจและความสะใจส่วนตัวไว้ไม่อยู่ แต่ครั้นเมื่อมาคิดได้ว่าการที่ผู้นำรัฐบาลของประเทศใดจะแสดงความดีใจกับผู้ นำคนใหม่ของรัฐบาลประเทศใดนั้น จะต้องรอจนกว่าผู้นำคนใหม่ของรัฐบาลประเทศนั้นๆ ได้รับการแต่งตั้งและได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น จึงทำให้ ฮุน เซน ต้องหาทางแสดงออกซึ่งความดีใจและความสะใจส่วนตัวดังกล่าว ด้วยการสั่งให้ ฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศที่มีความรับผิดชอบโดยตรงต่อกรณีพิพาทชายแดนกับไทย ว่าด้วยปราสาทพระวิหารนั้น ออกมาแสดงถึงความในใจดังกล่าวแทนตนไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การออกมาแสดงความยินดีกับ พรรคเพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (น้องสาวสุดที่รักของ ทักษิณ) ในครั้งนี้ ฮอร์ นัมฮง ก็มิได้ทิ้งลวดลายของนักการทูตผู้มากด้วยประสบการณ์แต่อย่างใด โดยได้แสดงเจตนารมย์ผ่านสื่อเทศจากกรุงพนมเปญมาที่กรุงเทพฯ ว่า “การแก้ไขปัญหาขัดแย้งต่างๆที่ชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยนับจากนี้เป็นต้น ไป จะยืนอยู่บนหลักสันติวิธี” ซึ่งในทางการทูตแล้วถือเป็นการตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าตาของรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยทีเดียว
นั่นก็เป็นเพราะว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน นั้นถือว่า อภิสิทธิ์ เป็นศัตรูของพวกตนตั้งแต่ที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภาไทยแล้ว เนื่องจาก ฮุน เซน มองว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ อภิสิทธิ์ นั้นเป็นเพราะได้มีการหยิบยกเอากรณีของมรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา นั้นขึ้นมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลของฝ่ายเพื่อนรัก อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาไม่สามารถบริหารและจัดการเพื่อ สร้างผลประโยชน์จากมรดกโลกแห่งนี้ได้เลยนับเป็นเวลาถึง 3 ปีมาแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ในด้านหนึ่งนั้นสาเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลฮุน เซน กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีกนั้นก็เป็นเพราะความผิดพลาดของ ฮุน เซน เองด้วย กล่าวคือการตัดสินใจแต่ง ตั้งให้ ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา เพียงแต่ว่าความผิดพลาดในกรณีที่ว่านี้ของ ฮุน เซน ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ในวงการสื่อมวลชนในกัมพูชา (ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮุน เซน แทบทั้งสิ้น) แต่กลับได้ไปมุ่งเน้นในประเด็นที่ว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้พยายามดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางมรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารของ กัมพูชา” นั่นเอง
แน่นอนว่าการที่ ฮุน เซน ได้สั่งการให้ ฮอร์ นัมฮง ออกมาแสดงเจตนารมย์ (แทนตนเอง) ในครั้งล่าสุดนี้ ย่อมมุ่งหมายที่จะทำให้รัฐบาลของตนสามารถที่จะดำเนินแผนการบริหารและจัดการ มรดกโลกที่ปรา สาทพระวิหารได้อย่างสะดวกโยธิน โดยเชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่ตนมีอยู่กับ ทักษิณ ผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของ ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยนั้น จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชากลับคืนดีดังเดิมอันจะทำให้ ง่ายต่อการเจรจาตกลงกันในทุกเรื่องด้วย
แต่การมองและความเชื่อเช่นว่านี้ของ ฮุน เซน ก็ต้องถือว่าเป็นความผิดพลาดอีกครั้งได้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ ฮุน เซน อาจจะลืมไปว่าองค์กรและกลุ่มพลังมวลชนทางการเมืองในไทยนั้นแตกต่างกับใน กัมพูชาที่ ฮุน เซน สามารถใช้อำนาจเข้าไปควบคุมและแทรกแซงเพื่อบ่อนทำลายได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สำหรับในประเทศไทยนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งซึ่งในข้อนี้ ทักษิณ เองก็น่าจะเข้าใจดียิ่งกว่า ยิ่งลักษณ์ ด้วยซ้ำ
ฉะนั้น สิ่งสำคัญอย่างแรกที่ ทักษิณ พึงกระทำอย่างยิ่งก็คือการให้คำปรึกษาแก่เพื่อนรักเพื่ออธิบายให้ เพื่อนรักอย่าง ฮุน เซน นั้นได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการเมืองไทยกับการเมืองกัมพูชา โดยถึงแม้ว่าระบบและโครงสร้างทางการเมืองในทั้งสองประเทศนี้จะเหมือนกัน ทุกอย่างก็ตาม แต่ความแตกต่างก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน หรืออย่างน้อยที่สุด ทักษิณ ก็ควรจะอธิบายให้เพื่อนรักได้เข้าใจว่าการใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดดังที่ ฮุน เซน ได้ประพฤติปฏิบัติมาโดยตลอดในกัมพูชานั้นไม่สามารถที่จะใช้ได้ในประเทศไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีปัจจัยที่สุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของน้องสาวสุดที่รักของ ทักษิณ ในสองกรณีเป็นอย่างน้อยกล่าวสำหรับกรณีแรกก็คือการประกาศถอนตัวจาก UNESCO ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ทิ้งเป็นมรดกตกทอดเอาไว้นั้น ประเด็นก็คือว่ารัฐบาลของน้องสาว ทักษิณ จะจัด การกับเรื่องนี้อย่างไร? เพราะทางเลือกมีอยู่เพียง 2 ทางเท่านั้น ซึ่งก็คือจะยืนยันตามการประกาศของ รัฐบาลอภิสิทธิ์หรือยกเลิกการประกาศดังกล่าวนั่นเอง
ซึ่งถ้าหากเลือกในแนวทางของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ย่อมหมายถึงการยอมรับในแนวทางที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ดำเนินการต่อรัฐบาลฮุน เซน มาโดยตลอด กล่าวคือการขัดขวางมรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารของ กัมพูชาต่อไป เนื่องจากเกรงว่ามรดกโลกที่ปราสาทพระวิหารแห่งนี้จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดน หรือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้แก่กัมพูชา แต่ถ้าหากเลือกในแนวทางของการยกเลิกการประกาศที่ว่านี้ ก็สุ่มเสี่ยงต่อการที่จะต้องเผชิญกับการประท้วงครั้งใหม่ของขบวนการชาติ นิยม“ผู้รักชาติ”ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่อดีตที่ปรึกษาพิเศษของรัฐบาลกัมพูชา พึงจะต้องอธิบายให้เพื่อนรักได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ก็คือปัญหาเร่งด่วนของรัฐบาลไทยชุดใหม่ภายใต้การนำของน้องสาวสุดที่รักผู้ ซึ่งเป็นโคลนนิ่งของตนนั้นหาใช่กรณีปัญหาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด ไม่ (เช่นเดียวกับการนิรโทษกรรม) หากแต่เป็นปัญหาปากท้องของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ใน ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งนั่นเอง
ส่วนปัจจัยที่สุ่มเสี่ยงอย่างที่สองนั้น ก็คือการที่รัฐบาลฮุน เซน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลระหว่างประเทศเพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาของศาลฯที่ว่า ด้วยอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหารที่ได้มีการตัด สินอย่างเป็นทางการในปี 1962 นั้น
สำหรับ ฮุน เซน แล้วย่อมจะถือว่าการยื่นคำร้องต่อศาลระหว่างประเทศหรือศาลโลกเพื่อขอให้ตี ความคำตัดสินที่เกี่ยวกับความขัดแย้งว่าด้วยปราสาทพระวิหารระหว่างกัมพูชา กับไทย เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนนั้นเป็นความสำเร็จที่ได้แสดงให้ชาวเขมรได้เห็นถึงความชาญฉลาดของตน ที่สามารถต่อสู้และรับมือกับประเทศที่ใหญ่กว่าอย่างไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถแจกแจงเหตุผลเพื่อประกอบการร้อง ขอต่อศาลโลกในครั้งนี้ได้อย่างชัดเจนในทุกประเด็น
กล่าวสำหรับประเด็นแรกก็คือการอ้างว่าคำพิพากษาปี 1962 นั้นได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่ปรากฏอยู่แล้ว และก็ได้รับการยอมรับจากทั้งสองประเทศ (ไทย-กัมพูชา) แล้ว ส่วนประเด็นที่สอง ก็คือการที่ได้อ้างว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏตามแผนที่ที่ศาลฯได้อ้างถึงในหน้า 21 ของคำพิพากษาปี 1962 นั้นเป็นแผนที่ที่ศาลฯ ได้พบว่าอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือตัวปราสาทนั้นเป็นผลโดยตรงจากการที่ กัมพูชาได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น และก็ในประเด็นที่สามนั้น รัฐบาลของ ฮุน เซน ก็ยังได้อ้างถึงผลแห่งคำพิพากษา ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีภาระที่จะต้องทำการถอนทหารหรือเจ้าหน้าที่อื่นใดออกไป จากพื้นที่รอบตัวปราสาทที่อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา ซึ่งทางการไทย ไม่เห็นด้วยกับทุกประเด็นดังกล่าว เพราะฉะนั้นตราบเท่าที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป จึงจำเป็นต้องมีการวินิจฉัยขอบเขตและความหมายของคำพิพากษาดังกล่าว
ส่วนที่ถือว่าเป็นไม้เด็ดของรัฐบาลฮุน เซน ในการยื่นคำร้องในครั้งนี้ด้วยนั้นก็คือการร้องขอให้ศาลโลกออกมาตราการคุ้ม ครองชั่วคราวตามมาตรา 41 ของธรรมนูญศาลฯ และมาตรา 73 ของระเบียบศาล โลกอย่างเร่งด่วนด้วย ซึ่งก็คือการสั่งให้ไทยถอนกำลังออกไปจากพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่เป็นอาณา เขตของกัมพูชาโดยไม่มีเงื่อนไข การห้ามกิจกรรมทุกชนิดของทหารไทยในพื้นที่ของปราสาทพระวิหารและการให้ไทย ยุติการแทรกแซงสิทธิ์ของกัมพูชาและสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นอีกด้วย
ส่วนที่ ฮุน เซน คาดหวังมากไปกว่านั้น ก็คือการตีความคำพิพากษาปี 1962 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตี ความในประเด็นที่เกี่ยวกับอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบปราสาทดัง กล่าว (ในที่นี้ก็คือพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร) ซึ่ง ฮุน เซน คาดหวังว่ากัมพูชาจะเป็นฝ่ายที่มีชัยเหนือไทยอีกครั้ง
ดังที่คณะตุลาการศาลโลกได้มีคำตัดสินด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “...ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา...” จึงทำให้ “...ประเทศไทย (สยาม) นั้นมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลที่ไทยส่งไปประจำที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้ เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา...” ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ฮุน เซน คาดไม่ถึงที่สามารถจะกลับกลายเป็นผลร้ายที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อกัมพูชาไทย และกับตัวของ ฮุน เซน เองด้วยนั้น ก็คือการตีความคำพิพากษาของศาลโลกตามการร้องขอของรัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน นั่นเอง ทั้งนี้โดยไม่ว่าศาลโลกจะตีความออกมาในทิศทางใดก็ตาม
กล่าวก็คือถ้าหากศาลโลกได้ตีความที่เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา เช่นการตีความว่าอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาที่มีอยู่เหนือปราสาทพระวิหารนั้น ให้รวมถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยนั้น ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นติดตามมาก็คือความร้อนแรงทางการเมืองในประเทศไทยที่จะ เริ่มขึ้นจากการปลุกกระแสชาตินิยมที่มีเป้าหมายที่การทำลายล้างระหว่างขั้ว ทางการเมืองในไทยด้วยการชูประเด็นที่ว่าด้วย “กู้ชาติ” เพื่อทำลายขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามในฐานะ “ผู้ขายชาติ” นั่นเอง
เพราะฉะนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ ทักษิณ สามารถที่จะกระทำได้เพื่อช่วยเหลือรัฐนาวาของน้องสาวสุดที่รักนั้นก็คือการ อธิบายให้ ฮุน เซน เพื่อนรักได้มองเห็นผลร้ายเหล่านี้ และจะดียิ่งกว่านั้นก็คือการทำให้เพื่อนรักได้เห็นถึงความจำเป็นในอันที่จะ แก้ไขปัญหาระหว่างกันด้วยการเจรจาแบบทวิภาคี ด้วยการเลิกล้มการขยายปัญหาไปสู่ระดับพหุภาคีอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพื่อที่ว่าจะได้ร่วมกันพัฒนามรดกโลกแห่งนี้ให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่าง ยั่งยืนโดยปราศจากความขัดแย้งระหว่างกันจริงๆต่อไป
นอกจากนี้ ก็มีอยู่อีกอย่างหนึ่งที่ ทักษิณ สามารถเกลี้ยกล่อมให้ ฮุน เซน ตอบสนองได้ทันที ก็คือการขออิสรภาพให้กับ วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ นั่นเอง!!!
 
Sent to friend

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง