บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เผยศาลโลกถามเหตุปะทะไทย-กัมพูชา


คมชัดลึก :ศาลโลกสอบถามเหตุการณ์ปะทะไทย-กัมพูชา พร้อมสั่งให้แต่ละปท.ส่งเอกสารแจงภายใน 7 มิ.ย. ก่อนมีคำวินัจฉัย ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ทีมกฎหมายไทยแจงศาลโลก ชี้ศาลเลี่ยงตีความสถานะทาง กม.ของแผนที่ประกอบคำตัดสินกรณีปราสาทพระวิหาร


(1มิ.ย.) นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการชี้แจงในศาลโลก ว่า ผู้พิพากษาได้สอบถามถึงผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่หลังเหตุปะทะในเดือน เมษายนว่าทั้งสองประเทศได้เคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่มากน้อยแค่ ไหนอย่างไร ความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างไร โดยให้เวลาทั้งสองประเทศ 1 สัปดาห์ในการตอบกลับมายังศาลเป็นลายลักษณ์อักษร คือ ภายในวันที่ 7 มิถุนายน จากนั้นศาลจะนำคำตอบของแต่ละฝ่ายส่งให้อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ชี้แจงกลับมาภาย ในวันที่ 14 มิถุนายนต่อไป
ไทยแจงศาลโลกชี้เลี่ยงตีความสถานะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อเวลา 16.00-18.00 น . คณะดำเนินคดีของฝ่ายไทยได้กล่าวชี้แจงต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เป็นวันที่สองของการนั่งพิจารณา กรณีคำขอของกัมพูชาให้ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราวให้ไทยถอนทหารออก จากบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่ง ในโอกาสดังกล่าว คณะฝ่ายไทยได้เสนอข้อมูลข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อตอบโต้ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวหาไทย รวมถึงประเด็นที่กัมพูชาหยิบยกในช่วงการกล่าวคำแถลงในช่วงสองวันที่ผ่านมา เริ่มจากศาสตราจารย์อลัง เปลเล่ต์ (Alain Pellet) ตามด้วยศาสตราจารย์เจมส์ ครอว์ฟอร์ด (James Crawford) โดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ในฐานะตัวแทน (Agent) ของประเทศไทย กล่าวเป็นลำดับสุดท้าย สรุปประเด็นสำคัญในคำกล่าวของคณะฝ่ายไทยได้ดังนี้
 1 . ศาสตราจารย์เปลเล่ต์ได้กล่าวในประเด็นด้านกฎหมายเพื่อชี้ให้เห็นว่า คำขอของกัมพูชาให้ศาลตีความ คำพิพากษาอยู่นอกเขตอำนาจของศาล ดังนั้น คำขอเรื่องมาตรการชั่วคราวซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน ก็อยู่นอกเขตอำนาจศาลเช่นกัน ทั้งนี้ ศาสตราจารย์เปลเล่ต์ได้ยกเหตุผลสนับสนุน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า คำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 เน้นเฉพาะเรื่องของอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร และ ในครั้งนั้น ศาลได้ปฏิเสธที่จะตีความสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นเขตแดนในพื้นที่บริเวณดังกล่าวตามที่กัมพูชาขอ โดยใช้แผนที่ประกอบเป็นเหตุผลหนึ่งในการพิพากษาเท่านั้น ดังนั้น ประเด็นเรื่องแผนที่จึงไม่อาจนำมาตีความได้
 นอกจากนี้ ไทยก็ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โดยกัมพูชาก็ยอมรับและไม่เคยประท้วง แม้แต่เมื่อครั้งที่กษัตริย์สีหนุเสด็จฯ เยือนปราสาทพระวิหารเมื่อเดือน ม. ค. 2506 ก็ไม่ได้ทักท้วงแนวรั้วที่ไทยจัดทำไว้ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับ ศาสตราจารย์เปลเล่ต์กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของความเห็นแตกต่างในเรื่องเขตแดน ไทยกับกัมพูชา ก็ได้ตกลงที่จะเจรจาจัดทำหลักเขตตลอดแนว โดยลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อปี 2543 ซึ่งสะท้อนว่าทั้ง 2 ฝ่ายตระหนักว่า คำพิพากษาไม่ได้ตัดสินในเรื่องนี้ และก็ไม่ได้ระบุถึงคำพิพากษาปี 2505 เป็นหนึ่งในเอกสารที่จะนำมาพิจารณาในการเจรจาไว้ในบันทึกความเข้าใจ
 2 . ศาสตราจารย์ครอว์ฟอร์ดกล่าวว่า คำขอของกัมพูชาในประเด็นการตีความคำพิพากษากับประเด็นมาตรการชั่วคราวมีนัย ยะที่ขัดกันเอง โดยเห็นว่า มาตรการชั่วคราวที่กัมพูชาขอไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของศาล การขอมาตรการชั่วคราวต้องสามารถเชื่อมโยงกับคำขอหลักในเรื่องการตีความ แต่สิ่งที่กัมพูชาขอไม่ใช่ข้อขัดแย้งในเรื่องการตีความคำพิพากษาปี ๒๕๐๕ แต่กลับเป็นการขอให้ศาลตัดสินข้อพิพาทใหม่ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม หรืออีกนัยหนึ่งคือ การบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา และข้อ 60 ของธรรมนูญศาลไม่ได้ให้อำนาจแก่ศาลในกรณีนี้   นอกจากนี้ กัมพูชาก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างมาตรการที่ขอกับสิทธิ ที่มาตรการดังกล่าวจะคุ้มครอง อีกทั้งการที่กัมพูชารอมาเกือบ 50 ปีก็ยิ่งลดความเชื่อมโยงดังกล่าวลงไปอีก จึงเป็นการขอให้ศาลทำเกินขอบเขตของอำนาจตามข้อ 41 ของธรรมนูญศาลโลก ศาลจึงไม่ควรตอบสนองคำขอดังกล่าว
 3 . ขณะที่ นายวีระชัย ได้ย้ำต่อศาลโลกว่า ท่าทีของประเทศไทยมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ประการแรก ไทยยอมรับและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 อย่างครบถ้วนแล้วซึ่งกัมพูชาก็ยอมรับ ประการที่สอง ศาลโลกไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดนซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมีการกำหนด ต่อไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ โดยในระหว่างที่การเจรจาเขตแดนกำลังดำเนินอยู่ภายใต้กลไกทวิภาคี ที่จัดตั้งขึ้นตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตปี 2543 ไทยก็ได้ยึดเส้นแนวเขตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2505 มาโดยตลอด และประการที่สาม การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจำเป็นต้องมีพื้นที่ในการบริหาร จัดการซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในดินแดนไทย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไทยได้แสดงความพร้อมที่จะขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชา แต่การที่กัมพูชาปฏิเสธเรื่องนี้นำไปสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการขึ้น ทะเบียน ทั้งนี้ ไทยคัดค้านกลยุทธ์ในการสร้างความขัดแย้ง เพื่อเป็นเหตุให้ศาลสั่งมาตรการชั่วคราว เพื่อให้ไทยออกจากบริเวณที่จำเป็นสำหรับกัมพูชาในการเสนอแผนบริหารจัดการให้ ทันการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกในปลายเดือนมิถุนายน
 เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ย้ำต่อไปว่า ไทยยึดหลักการของความจริงใจในการดำเนินความสัมพันธ์กับกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของประเทศที่เท่าเทียมกันและมีชายแดนร่วมกัน ไม่ใช่ระหว่างประเทศที่เข้มแข็งกับประเทศที่อ่อนแอกว่า ดังเช่นที่กัมพูชาพยายามจะสร้างภาพ เพื่อช่วยปกปิดจุดมุ่งหมายที่แท้จริงซึ่งสะท้อนในคำปราศรัยของผู้นำกัมพูชา และการดำเนินการของกัมพูชาเพื่อให้ได้พื้นที่ที่อยู่ในดินแดนไทย แต่จำเป็นต่อการผลักดันแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารให้ได้รับการรับรองโดย คณะกรรมการมรดกโลก
 ต่อข้อกล่าวหาของกัมพูชา เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ได้กล่าวตอบโต้ในประเด็นข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้เน้นว่า ประเทศไทยไม่ได้มีความต้องการที่จะแย่งชิงดินแดนของกัมพูชา แต่มุ่งรักษาดินแดนของไทยที่มีอยู่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมที่จะเจรจากับกัมพูชาในเรื่องเขตแดน ส่วนของข้อกล่าวหาที่ว่าไทยโจมตีเพื่อสร้างความเสียหายต่อปราสาทพระวิหาร นั้น ข้อเท็จจริงคือกัมพูชาใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่มั่นในการโจมตีไทยซึ่ง ละเมิดอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีการขัด กันด้วยอาวุธ ค.ศ.1954 ขณะที่ไทยใช้สิทธิเพื่อป้องกันตนเองในระดับที่เหมาะสม และมุ่งเฉพาะเป้าหมายทางทหาร   ส่วนการที่กัมพูชาพยายามเชื่อมโยงปัญหากับการเมืองภายในของไทยนั้น เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ย้ำว่า ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยและการพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยจะ ต้องได้รับการตรวจสอบโดยรัฐสภา ทั้งนี้ การเมืองของไทยไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับประเด็นที่ศาลกำลังพิจารณา
 สำหรับประเด็นเกี่ยวกับประชาชนชาวกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ปราสาทพระวิหารนั้น คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่อาศัยมานานตามที่กัมพูชาอ้าง แต่เพิ่งได้รับการย้ายเข้าไปอยู่บริเวณดังกล่าวเพื่อเป้าหมายด้านการเมือง ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของการพิจารณาของศาลในครั้งนี้ ส่วนที่กัมพูชาอ้างว่ามีความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงเพราะไทย ความจริงเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกัมพูชาที่เป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีมาตลอด อีกทั้งกัมพูชาก็เป็นฝ่ายขยายความขัดแย้งจากบริเวณปราสาทพระวิหารไปยัง พื้นที่อื่น คือ บริเวณปราสาทตาเมือนและตาควาย ไม่ใช่ไทย การที่มีเหตุการณ์ปะทะเกิดขึ้นในบริเวณอื่นก็ไม่ควรเป็นเหตุให้ต้องเชื่อว่า จะมีเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบที่ไม่สามารถเยียวยาได้ในบริเวณปราสาทพระวิหาร จึงไม่ควรเป็นเหตุให้ศาลต้องพิจารณามีคำสั่งมาตรการชั่วคราว
 เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก กล่าวย้ำว่า ในการให้การสองฝ่ายที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้แสดงให้ศาลเห็นว่า ไทยกับกัมพูชาไม่มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำ พิพากษาปี 2505 และคำขอของกัมพูชาให้ศาลตีความคำพิพากษาเป็นความพยายามที่จะให้ศาลตัดสินใน ประเด็นอื่นที่ศาลไม่ได้ตัดสินไว้เมื่อปี 2505 ด้วยเหตุนี้ คำขอดังกล่าวจึงอยู่นอกเขตอำนาจศาล และก็ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใดที่จะมีการพิจารณาตีความ จึงขอให้ศาลยกคำร้องที่ฝ่ายกัมพูชายื่นเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554
 ในช่วงท้ายของการนั่งพิจารณา ประธานคณะผู้พิพากษาศาลโลกได้กล่าวว่า ศาลจะพิจารณามีคำสั่งเกี่ยวกับมาตรการชั่วคราวในโอกาสแรก ซึ่งจะได้แจ้งให้ตัวแทนของแต่ละประเทศต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง