ยิงสู้รบด้วยอาวุธหนัก อย่างยืดเยื้อ ไม่ยอมเจรจา ผิดวิสัย"ฮุนเซน" ยื่นร้องต่อประธานอาเซียนตอกย้ำประเด็นผู้สังเกตการณ์ คงไม่ใช่เป้าหมายเดียว
ระดมยิงตอบโต้กันด้วยอาวุธหนักสี่วันรวด(22-25 เม.ย.) สำหรับกัมพูชา ทันทีได้ส่งหนังสือถึงประธานอาเซียน(นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย) แบบเตรียมไว้เสร็จสรรพ
ระดมยิงตอบโต้กันด้วยอาวุธหนักสี่วันรวด(22-25 เม.ย.) สำหรับกัมพูชา ทันทีได้ส่งหนังสือถึงประธานอาเซียน(นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย) แบบเตรียมไว้เสร็จสรรพ
สาระสำคัญ คือ ให้นำเรื่องการสู้รบแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) ไทยละเมิดตามมติที่ประชุมยูเอ็นเอสซี (14 ก.พ.54) และนายมาร์ตี้เสนอที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน(22 ก.พ.) ก็คือ ทีโออาร์ว่าด้วยการส่งคณะสังเกตการณ์อินโดนีเซียมาประจำจุดพิพาทนั่นเอง
เป็นการสู้รบหลังจากรัฐมนตรีกลาโหมของไทย(พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) นำคณะทหารไปเยือนคารวะประธานอาเซียน 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนนั้นกองทัพไทยปฏิเสธจะไปประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) จัดในคราวเดียวกับ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) ที่อินโดนีเซีย
สำหรับรัฐบาลไทยยืดยาดเช่นเคย ทั้งที่เคยผ่านเหตุการณ์ปะทะ สู้รบ มาไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง (นับจาก "ฮุนเซน" ชนะเลือกตั้ง 27ก.ค.2551) ทหารไทยเสียชีวิตอย่าง 6 นาย บาดเจ็บไม่น้อยกว่า 35 นาย ลูกปืนใหญ่ตกลงหมู่บ้าน คนไทยต้องอพยพจาก ต.บักได ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก สุรินทร์ และชาว ต.สายตะกู, ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด บุรีรัมย์ ร่วม 3 หมื่นคน
จนตกเย็น (16.30 น.) กระทรวงการต่างประเทศ จึงเรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชา เข้ารับหนังสือประท้วง(อย่างรุนแรง) ใน 4 ข้อ สรุปคือกัมพูชารุกล้ำจุดปลอดทหาร สร้างบังเกอร์ในเขตไทย และยิงโจมตีก่อน จนขยายตัวไปสู่อาวุธหนัก โดยละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ละเมิดเอ็มโอยู 2543 (ความจริงฉีกมันไปตั้งนานแล้ว แต่ฝ่ายไทยยังกอดมันไว้อยู่)
ช่วงเช้าไทยสั่งปิดด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ ช่วงเย็นสั่งปิดด่านช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ
น่าอดสู สู้รบวันแรก นายกรัฐมนตรีไทยยังไปหาเสียงกับสาวโรงงานวาโก้ วันถัดมา การประสานเจรจาล้มเหลวทุกระดับ นายกฯ เสนอให้จัดประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค(อาร์บีซี) กับ จีบีซี ที่กรุงเทพ หรือ พนมเปญ เท่านั้น
กระทั่งวันที่สาม ต้องเสร็จจัดรายการเชื่อมั่นฯ เรื่องยาเสพติด เสียก่อน จึงเรียกประชุมทางไกลเฉพาะเรื่องสู้รบชายแดน
สรุปอย่างน้อยเป้าหมายกัมพูชา คือ กดดันรัฐบาลไทย กองทัพไทย ให้ต้องรับทีโออาร์อินโดนีเซีย ซึ่งบัวแก้ว รัฐบาลไทย ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดว่าจะปรับจะแก้ จะรับในข้อใดบ้าง
กัมพูชาเองย่อมรู้ว่า คงไม่ง่าย เพราะรัฐบาลไทยคงต้องเล่นบทยึกยัก ให้ยืดเยื้อจนกว่าจะเลือกตั้งแล้วเสร็จตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าพลิกขั้วก็โยนออกพ้นตัวไป ซึ่งกัมพูชาย่อมรู้ พลังในประเทศไทยจะไม่ยอมให้รัฐบาลทำอะไรได้ง่ายดาย เหมือนชาติเผด็จการ
การสู้รบที่แนวชายแดนด้านสุรินทร์ บุรีรัมย์ อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของมันฟังไม่ขึ้น เพราะปราสาทตาควาย ตั้งอยู่หว่างกลางของหลักเขตแดนที่ 21 กับหลักที่ 22 ตั้งเข้ามาจากสันปันน้ำราว 200 เมตร รวมถึงหลักที่ 23 ปราสาทตาเมือนธม ก็ตั้งห่างจากสันปันน้ำ เส้นแบ่งพรมแดนตามธรรมชาติ
การย้ายแนวรบมาที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย แม้จะอ้างสิทธิเป็นเจ้าของ แต่การเลือกโจมตี ในจังหวะเดียวกับแกนนำเสื้อแดงประโคมแผนรัฐประหาร เป็นห้วงเดียวกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กับอัยการ จะยื่นถอนประกันแกนนำและแนวร่วมนปช. กรณีปราศรัยจาบจ้วงสถาบัน 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้นายทหารพระธรรมนูญ แจ้งความเอาผิด 3 แกนนำ ตามมาด้วย ผบ.พล นำกำลังออกมาแสดงแสนยานุภาพ ปลุกพลังมวลชนออกมาต่อต้านอีกด้วย
กระทั่ง 21 เมษายน"ดาวเทียมไทยคม 5" เกิดขัดข้อง สัญญาณโทรทัศน์หลายช่องดับร่วม 3 ชั่วโมง บังเกิดข่าวลือสะพัดเกิดรัฐประหาร ซึ่งหากไม่ใช่สาเหตุกลไกเทคนิคจริง ๆ ล่ะก้อ ไม่ว่าฝ่ายใดทำได้เช่นนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่
แล้วเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จึงเกิดการยิงสู้รบระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา 4 วันรวด และคาดว่าจะยิงต่อไปอย่างยืดเยื้อ ผิดจากการยิงที่ภูมะเขือ ปราสาทพระวิหาร ศรีสะเกษ ซึ่งไม่ค่อยสมจริงนัก จึงย้ายจุดยิงมาด้านสุรินทร์แล้วไม่ยอมเปิดเจรจาเช่นนี้ ย่อมผิดวิสัยของ”ฮุนเซน” นอกเสียจากจะมีลับ ลวง พราง มากกว่าเป้าหมายเดียว
ในฟากที่จับ"ทฤษฎีสมคบคิด" มองการเปิดฉากระดมยิงครั้งนี้ น่าจะต้องการรบกวนกองทัพไทยให้พะวักพะวง จนมิอาจลงมือทำรัฐประหารได้ อีกทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย ภายใต้พรรคประชาธิปัตย์ที่จะลงเลือกตั้งทั่วไปในเร็ว ๆ นี้ นอกจากทำลายเครดิตรัฐบาลไทย แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ ซ้ำชายแดนตะวันออกก็ระอุ
อย่าลืมว่า กัมพูชาเคยร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไร เคยปฏิบัติกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างไร ทั้งปราศรัยโจมตี ทั้งปฏิเสธส่งตัวแกนนำเสื้อแดงที่หนีไปซ่อนในกัมพูชา
สมประโยชน์ระยะยาว คือกัมพูชาได้เดินหน้าสร้างเงื่อนไขให้ไปสู่พหุพาคี เพื่อรอ ทีโออาร์อินโดนีเซียจะเกิดผลในระยะยาว
"ฮุนเซน" ทิ้งไพ่สู้ก่อนเลือกตั้งปี 2555
ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า "ฮุน เซน" กระทำผิดหลายมาตราของรัฐธรรมนูญกัมพูชา และขัดต่อกฎบัตรระหว่างประเทศหลายประเด็น เช่น ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนมารุกรานกินดินแดนประเทศไทย ขณะที่ มาตรา 2 รัฐธรรมนูญกัมพูชา ประเทศใช้มาตราส่วน 1 ต่อ 1 แสน
ในกรณีจับกุมลักพาตัว 7 คนไทย ยัดข้อหาและตัดสินมีความผิด ทรมานทำร้ายจิตใจนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ อย่างเลือดเย็น
กับสิ่งที่กัดกร่อนอำนาจฮุน เซน คือ พลังคลื่นใต้น้ำเป็นระลอก ๆ จากการกระทำป่าเถื่อนโหดร้าย เนื่องจาก 1.การลิดรอน ขัดขวางสิทธิฝ่ายค้าน 2.กดขี่ ข่มเหง ไล่ที่ทำกินชาวกัมพูชา นำไปให้ต่างชาติเช่าระยะยาว กดขี่แรงงานเอาใจนายทุนต่างชาติ 3.ไม่ไว้ใจ ตัดตอน ข่มบทบาท นายทหารอดีตเขมรแดง รวมถึงพนักงานรัฐส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการฮุนเซน กระทำต่อไทยประเทศเพื่อนบ้าน
ฮุน เซน คงยากจะวางมือไม่สานต่อเรื่องมรดกโลกปราสาทเขาพระวิหารทั้งหมด รวมทั้งอยากผนวกกลุ่มปราสาทตาเมือน ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ (อาจไปถึงปราสาทสด็อกก๊อกธม จ.สระแก้ว) เพราะจะไม่มีอะไรไปเบี่ยงเบนให้คนหันเหสนใจกรณีเวียดนามกินดินแดนด้านตะวันออกของประเทศ
ใช้การสู้รบกับไทยเป็นเงื่อนไขประเด็นหาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปปีหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างทายาทสืบทอดอำนาจถึงพลโทฮุน มาเน็ต ลูกชาย ให้เกิดการยอมรับก็อีกประเด็นหนึ่ง
ลักษณาการณ์เช่นนี้ จึงเป็นยุทธวิธียิงกระสุนนัดเดียว หวังนกหลายตัว!
ในทางกลับกัน ถ้าประเทศไทย กลุ่มคนมีเอกภาพความคิดเรื่องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน สิทธิ เสรีภาพ การแสดงออกหวงแหนแผ่นดินเกิดแล้วล่ะก้อ ถือว่า"ฮุน เซน" เล่มเกมเสี่ยงอย่างยิ่ง
ซึ่งก็เริ่มเห็นแววขุ่นเคืองจริงจังของฝ่ายไทยในระดับนำที่เกี่ยวข้อง ได้แสดงออกท่าที ความเห็นเป็นแก่นสาระสำคัญ โต้ตอบความก้าวร้าว ไร้มนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชา เอาชีวิตคนกัมพูชามาแขวนไร้หลักประกัน ทำลายเพื่อนมนุษย์เพื่อนบ้านใกล้ชิดได้ลงคอ กับทำลายเป้าหมายร่วมขององค์กรอาเซียน
สุดท้าย ก็เพียงเพื่อนำพาตระกูลฮุนเซน กับพวกพ้องอยู่ในอำนาจปกครองกัมพูชาให้นานที่สุด เพื่อสานต่อขุดลึกเอาผลประโยชน์บนแผ่นดิน ใต้พิภพกัมพูชา และใต้ทะเลลึกชิงกับประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ต้องคอยดูผู้บริหารประเทศไทยจะมีแต่เส้นขนมจีน สามารถปกป้องบ้านเมืองคุ้มเหย้า ให้ประชาชนได้พบสันติสุขอย่างแท้จริง หรือจะดีแต่พูดไปทุกเรื่อง.
เป็นการสู้รบหลังจากรัฐมนตรีกลาโหมของไทย(พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) นำคณะทหารไปเยือนคารวะประธานอาเซียน 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนนั้นกองทัพไทยปฏิเสธจะไปประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) จัดในคราวเดียวกับ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) ที่อินโดนีเซีย
สำหรับรัฐบาลไทยยืดยาดเช่นเคย ทั้งที่เคยผ่านเหตุการณ์ปะทะ สู้รบ มาไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง (นับจาก "ฮุนเซน" ชนะเลือกตั้ง 27ก.ค.2551) ทหารไทยเสียชีวิตอย่าง 6 นาย บาดเจ็บไม่น้อยกว่า 35 นาย ลูกปืนใหญ่ตกลงหมู่บ้าน คนไทยต้องอพยพจาก ต.บักได ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก สุรินทร์ และชาว ต.สายตะกู, ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด บุรีรัมย์ ร่วม 3 หมื่นคน
จนตกเย็น (16.30 น.) กระทรวงการต่างประเทศ จึงเรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชา เข้ารับหนังสือประท้วง(อย่างรุนแรง) ใน 4 ข้อ สรุปคือกัมพูชารุกล้ำจุดปลอดทหาร สร้างบังเกอร์ในเขตไทย และยิงโจมตีก่อน จนขยายตัวไปสู่อาวุธหนัก โดยละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ละเมิดเอ็มโอยู 2543 (ความจริงฉีกมันไปตั้งนานแล้ว แต่ฝ่ายไทยยังกอดมันไว้อยู่)
ช่วงเช้าไทยสั่งปิดด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ ช่วงเย็นสั่งปิดด่านช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ
น่าอดสู สู้รบวันแรก นายกรัฐมนตรีไทยยังไปหาเสียงกับสาวโรงงานวาโก้ วันถัดมา การประสานเจรจาล้มเหลวทุกระดับ นายกฯ เสนอให้จัดประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค(อาร์บีซี) กับ จีบีซี ที่กรุงเทพ หรือ พนมเปญ เท่านั้น
กระทั่งวันที่สาม ต้องเสร็จจัดรายการเชื่อมั่นฯ เรื่องยาเสพติด เสียก่อน จึงเรียกประชุมทางไกลเฉพาะเรื่องสู้รบชายแดน
สรุปอย่างน้อยเป้าหมายกัมพูชา คือ กดดันรัฐบาลไทย กองทัพไทย ให้ต้องรับทีโออาร์อินโดนีเซีย ซึ่งบัวแก้ว รัฐบาลไทย ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดว่าจะปรับจะแก้ จะรับในข้อใดบ้าง
กัมพูชาเองย่อมรู้ว่า คงไม่ง่าย เพราะรัฐบาลไทยคงต้องเล่นบทยึกยัก ให้ยืดเยื้อจนกว่าจะเลือกตั้งแล้วเสร็จตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าพลิกขั้วก็โยนออกพ้นตัวไป ซึ่งกัมพูชาย่อมรู้ พลังในประเทศไทยจะไม่ยอมให้รัฐบาลทำอะไรได้ง่ายดาย เหมือนชาติเผด็จการ
การสู้รบที่แนวชายแดนด้านสุรินทร์ บุรีรัมย์ อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของมันฟังไม่ขึ้น เพราะปราสาทตาควาย ตั้งอยู่หว่างกลางของหลักเขตแดนที่ 21 กับหลักที่ 22 ตั้งเข้ามาจากสันปันน้ำราว 200 เมตร รวมถึงหลักที่ 23 ปราสาทตาเมือนธม ก็ตั้งห่างจากสันปันน้ำ เส้นแบ่งพรมแดนตามธรรมชาติ
การย้ายแนวรบมาที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย แม้จะอ้างสิทธิเป็นเจ้าของ แต่การเลือกโจมตี ในจังหวะเดียวกับแกนนำเสื้อแดงประโคมแผนรัฐประหาร เป็นห้วงเดียวกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กับอัยการ จะยื่นถอนประกันแกนนำและแนวร่วมนปช. กรณีปราศรัยจาบจ้วงสถาบัน 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้นายทหารพระธรรมนูญ แจ้งความเอาผิด 3 แกนนำ ตามมาด้วย ผบ.พล นำกำลังออกมาแสดงแสนยานุภาพ ปลุกพลังมวลชนออกมาต่อต้านอีกด้วย
กระทั่ง 21 เมษายน"ดาวเทียมไทยคม 5" เกิดขัดข้อง สัญญาณโทรทัศน์หลายช่องดับร่วม 3 ชั่วโมง บังเกิดข่าวลือสะพัดเกิดรัฐประหาร ซึ่งหากไม่ใช่สาเหตุกลไกเทคนิคจริง ๆ ล่ะก้อ ไม่ว่าฝ่ายใดทำได้เช่นนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่
แล้วเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จึงเกิดการยิงสู้รบระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา 4 วันรวด และคาดว่าจะยิงต่อไปอย่างยืดเยื้อ ผิดจากการยิงที่ภูมะเขือ ปราสาทพระวิหาร ศรีสะเกษ ซึ่งไม่ค่อยสมจริงนัก จึงย้ายจุดยิงมาด้านสุรินทร์แล้วไม่ยอมเปิดเจรจาเช่นนี้ ย่อมผิดวิสัยของ”ฮุนเซน” นอกเสียจากจะมีลับ ลวง พราง มากกว่าเป้าหมายเดียว
ในฟากที่จับ"ทฤษฎีสมคบคิด" มองการเปิดฉากระดมยิงครั้งนี้ น่าจะต้องการรบกวนกองทัพไทยให้พะวักพะวง จนมิอาจลงมือทำรัฐประหารได้ อีกทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย ภายใต้พรรคประชาธิปัตย์ที่จะลงเลือกตั้งทั่วไปในเร็ว ๆ นี้ นอกจากทำลายเครดิตรัฐบาลไทย แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ ซ้ำชายแดนตะวันออกก็ระอุ
อย่าลืมว่า กัมพูชาเคยร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไร เคยปฏิบัติกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างไร ทั้งปราศรัยโจมตี ทั้งปฏิเสธส่งตัวแกนนำเสื้อแดงที่หนีไปซ่อนในกัมพูชา
สมประโยชน์ระยะยาว คือกัมพูชาได้เดินหน้าสร้างเงื่อนไขให้ไปสู่พหุพาคี เพื่อรอ ทีโออาร์อินโดนีเซียจะเกิดผลในระยะยาว
"ฮุนเซน" ทิ้งไพ่สู้ก่อนเลือกตั้งปี 2555
ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า "ฮุน เซน" กระทำผิดหลายมาตราของรัฐธรรมนูญกัมพูชา และขัดต่อกฎบัตรระหว่างประเทศหลายประเด็น เช่น ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนมารุกรานกินดินแดนประเทศไทย ขณะที่ มาตรา 2 รัฐธรรมนูญกัมพูชา ประเทศใช้มาตราส่วน 1 ต่อ 1 แสน
ในกรณีจับกุมลักพาตัว 7 คนไทย ยัดข้อหาและตัดสินมีความผิด ทรมานทำร้ายจิตใจนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ อย่างเลือดเย็น
กับสิ่งที่กัดกร่อนอำนาจฮุน เซน คือ พลังคลื่นใต้น้ำเป็นระลอก ๆ จากการกระทำป่าเถื่อนโหดร้าย เนื่องจาก 1.การลิดรอน ขัดขวางสิทธิฝ่ายค้าน 2.กดขี่ ข่มเหง ไล่ที่ทำกินชาวกัมพูชา นำไปให้ต่างชาติเช่าระยะยาว กดขี่แรงงานเอาใจนายทุนต่างชาติ 3.ไม่ไว้ใจ ตัดตอน ข่มบทบาท นายทหารอดีตเขมรแดง รวมถึงพนักงานรัฐส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการฮุนเซน กระทำต่อไทยประเทศเพื่อนบ้าน
ฮุน เซน คงยากจะวางมือไม่สานต่อเรื่องมรดกโลกปราสาทเขาพระวิหารทั้งหมด รวมทั้งอยากผนวกกลุ่มปราสาทตาเมือน ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ (อาจไปถึงปราสาทสด็อกก๊อกธม จ.สระแก้ว) เพราะจะไม่มีอะไรไปเบี่ยงเบนให้คนหันเหสนใจกรณีเวียดนามกินดินแดนด้านตะวันออกของประเทศ
ใช้การสู้รบกับไทยเป็นเงื่อนไขประเด็นหาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปปีหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างทายาทสืบทอดอำนาจถึงพลโทฮุน มาเน็ต ลูกชาย ให้เกิดการยอมรับก็อีกประเด็นหนึ่ง
ลักษณาการณ์เช่นนี้ จึงเป็นยุทธวิธียิงกระสุนนัดเดียว หวังนกหลายตัว!
ในทางกลับกัน ถ้าประเทศไทย กลุ่มคนมีเอกภาพความคิดเรื่องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน สิทธิ เสรีภาพ การแสดงออกหวงแหนแผ่นดินเกิดแล้วล่ะก้อ ถือว่า"ฮุน เซน" เล่มเกมเสี่ยงอย่างยิ่ง
ซึ่งก็เริ่มเห็นแววขุ่นเคืองจริงจังของฝ่ายไทยในระดับนำที่เกี่ยวข้อง ได้แสดงออกท่าที ความเห็นเป็นแก่นสาระสำคัญ โต้ตอบความก้าวร้าว ไร้มนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชา เอาชีวิตคนกัมพูชามาแขวนไร้หลักประกัน ทำลายเพื่อนมนุษย์เพื่อนบ้านใกล้ชิดได้ลงคอ กับทำลายเป้าหมายร่วมขององค์กรอาเซียน
สุดท้าย ก็เพียงเพื่อนำพาตระกูลฮุนเซน กับพวกพ้องอยู่ในอำนาจปกครองกัมพูชาให้นานที่สุด เพื่อสานต่อขุดลึกเอาผลประโยชน์บนแผ่นดิน ใต้พิภพกัมพูชา และใต้ทะเลลึกชิงกับประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ต้องคอยดูผู้บริหารประเทศไทยจะมีแต่เส้นขนมจีน สามารถปกป้องบ้านเมืองคุ้มเหย้า ให้ประชาชนได้พบสันติสุขอย่างแท้จริง หรือจะดีแต่พูดไปทุกเรื่อง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น