บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ไทยยอมแพ้เขมร-ความอัปยศในยุค อภิสิทธิ์-สุเทพ !!

จำเป็นต้องพูดกันตรงๆแบบนี้ ว่าผลจากการปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาระลอกใหม่ที่เริ่มมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาต่อเนื่องนานกว่าสัปดาห์จนถึงเมื่อวานนี้ ( 29 เมษายน) ว่าไทยได้ “ยอมแพ้” หรือยอม “ขอสงบศึก” อย่างที่สื่อของฝ่ายโน้นได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ เพราะเมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์จากการปะทะวันแรกจนถึงวันที่มีการเจรจาสงบศึก หรือหยุดยิงก็สุดแล้วแต่ สรุปได้อย่างเดียวว่าฝ่ายไทย “เสียเปรียบ” ในทุกด้าน การตอบโต้ของทหารไทยราวกับว่า “ถูกมัดมือมัดเท้า” ทำให้เคลื่อนไหวต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เอาเสียเลย เพราะเป็นการตอบโต้อยู่ใน “วงจำกัด” ลักษณะจึงไม่ต่างจาก “นั่งรอ”ให้ฝ่ายตรงข้าม “เริ่มยิง” เข้ามาก่อนแล้วถึงจะตอบโต้กลับไป ที่ผ่านมาได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นและเป็น “เสียงเดียวกัน” ทั้งจากฝ่ายผู้นำรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำกองทัพ อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ย้ำว่า “ไทยไม่รุกรานใคร” รวมไปถึงใช้คำว่า “เราจะตอบโต้ตามความเหมาะสม” ความหมายที่ออกมาจึงไม่ต่างจาก “ต้องรอให้ทหารไทย ชาวบ้านตายก่อน บาดเจ็บก่อน” แล้วถึงจะตอบโต้กลับไป โดยที่เราจะยืนหยัดปักหลักอยู่ในที่เดิม ไม่เคลื่อนไหวรุกไปข้างหน้าเป็นอันขาด เพราะเราจะไม่รุกรานใคร นอกเหนือจากนี้ยังเป็นความหมายที่สับสนตามมาอีกว่าพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชารุกเข้ามานั้นเป็นเจตนาที่ต้องการยึดครองดินแดนไทยอย่างถาวร จึงต้องสร้างสถานการณ์ “สู้รบ” เพื่อให้นานาชาติส่งกำลังเข้ามาสังเกตการณ์ในลักษณะ “กันชน” ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายผู้นำรัฐบาลและกองทัพก็รู้ซึ้งถึงแนวทางของฝ่ายตรงข้ามดีอยู่แล้ว แต่กลับยัง “ตั้งรับ”อยู่ในพื้นที่อย่างเหนียวแน่น จนเกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ชาวบ้านตามแนวชายแดนต้องอพยพลึกเข้ามามากขึ้นทุกวัน เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด สำหรับยุทธวิธีในการสู้รบ เพราะเท่าที่เห็นตัวอย่างบางประเทศที่มีปัญหาตามแนวชายแดน อย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือกรณีของประเทศอิสราเอล กับกลุ่มประเทศอาหรับ แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นประเทศที่ใหญ่กว่า แต่ก็ใช้วิธีการทหารแก้ปัญหาความมั่นคงของตัวเองนั่นคือใช้กำลังเข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ในจุด “สูงข่ม” อย่าง “ที่ราบสูงโกลัน” จากซีเรียในสงครามยิว-อาหรับเมื่อปี 2510 มาจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ยอมคืนให้ หรืออย่างในกรณี “สงครามสั่งสอน” ที่จีนทำกับ เวียดนามเมื่อปี 2522 ก็ใช้วิธีจัดการอย่างเด็ดขาดรุกล้ำเข้ามาจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ ขณะที่หันมาทางการใช้วิธีการทางทหารของไทยบ้าง ทั้งผู้นำรัฐบาลและกองทัพต่างย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่าไทย “ไม่เสียเปรียบ” หรือ “ยิงมาก็ยิงไป” ตอบโต้ตามความเหมาะสม เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้เห็นว่าฝ่ายไทย “ไม่ได้เปรียบ” เพราะอย่างที่รู้กันว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากขึ้นก่อน เพื่อหวังผลอย่างที่รู้กันอยู่แล้ว ขณะที่ฝ่ายไทยได้แต่ตั้งรับ ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่จรวดบีเอ็ม 21 ของฝ่ายกัมพูชาจะยิงตกเข้าใส่ ทั้งที่ในเมื่อยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงในเรื่อง เอ็มโอยู 43 ฝ่ายไทยก็น่าที่จะยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวแล้วถือโอกาสใช้กำลังบุกเข้าไป “เคลียร์พื้นที่” เพื่อยึดความได้เปรียบเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยมาเจรจาหยุดยิงกันภายหลัง แต่จากความเคลื่อนไหวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายนที่ผ่านมาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร นำคณะเข้าไปเจรจาหยุดยิงกับผู้นำทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ชื่อว่า พล.ท.เจียมอญ อะไรนั่น ที่ โอว์เสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ในพื้นที่ของกัมพูชา ภาพที่ออกมาจึงไม่ต่างจากการเข้าไป “ขอสงบศึก” หากพูดให้แรงไปก็คือเข้าไปขอยอมแพ้กับเขานั่นเอง เพราะถ้าฝ่ายเราได้เปรียบหรือกุมสภาพที่เหนือกว่าจะต้องเรียกให้เขาเข้ามาเจรจากันในฝั่งไทย นอกจากนี้ในข้อตกลงจำนวน 6 ข้อที่มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการเป็นเอกสารของกระทรวงกลาโหมกัมพูชามีการระบุในข้อ 2 ว่าให้ทั้งสองฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวกำลังทหาร รวมทั้งห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพที่ตั้งทางทหาร นั่นก็หมายความว่า “ฐานปฏิบัติการทางทหาร” ที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในฝั่งไทย ทั้งที่บริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ทั้งที่ “ภูมะเขือ” และในวัดแก้วศิขาคีรีสวาระ รวมไปถึงที่บริเวณ “ปราสาทตาควาย” ที่เกิดเหตุครั้งล่าสุดก็ต้องคงไว้ และที่สำคัญไปกว่านั้นยังไม่มีหลักประกันใดๆว่าในอนาคตฝ่ายกัมพูชาจะยิงถล่มเข้ามาอีก และทหารไทย และราษฎรไทยจะต้องสังเวยและต้องอพยพอีกเมื่อไหร่ ดังนั้นถ้าผลการเจรจา และผลจากการ “ตอบโต้ตามสมควร” ตามที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าไทยไม่เสียเปรียบนั้น เมื่อออกมาแบบนี้ ในความเป็นจริงมันน่าจะตรงกันข้าม และไม่ต่างจากการยอมแพ้หรือ “ขอยอมสงบศึก” นั่นเอง !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง