บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผวา! ยังมีมือยิงเอ็ม79 อีก 300 คน ฝึกที่เขมร เตรียมพร้อมก่อเหตุ


            ที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1รอ.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) เป็นประธานจัดกิจกรรมเสวนา “แนว ทางการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบภายใต้ พระราชบัญญัติความมั่นคง (พ.ร.บ.ความมั่นคง) และ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)” โดยเชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ผู้บังคับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจนครบาล นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา นายพีรยุทธ์ ประดิษฐ์กุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 สำนักงานคดีอาญา พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายชัยรัตน์ ขนิษฐบุตร ผู้อำนวยการสำนักฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) นส.พรนภา มีชนะ ผู้อำนวยกลุ่มคดีรัฐธรรมนูญ สำนักวินิจฉัย และคดีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีพ.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ ผอ.กองกฤษฎีกาและการต่างประเทศกรมพระธรรมนูญ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา ทั้งนี้มีผู้บังคับหน่วยตั้งแต่ผบ.ร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย ผู้บังคับกองพัน จากหน่วยขึ้นตรงของ พล.1 รอ.จาก 3 กรม ประกอบด้วย ร.1 รอ. ร.11 รอ. และ ร.31 รอ.ประมาณ 100 นายเข้ารับฟังการเสวนา 
            ทั้ง นี้ พล.ต.กัมปนาท ได้กล่าวเปิดว่า การเสวนาวันนี้เป็นแนวทางการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่ที่ รักษาความสงบภายใต้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยการปฏิบัติงานภายใต้ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป ต้องพร้อมรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ รวมทั้งการใช้มารตรการต่าง ๆ และการชุมนุม แม้การรักษาความสงบเรียบร้อยเจ้าหน้าที่จะปฏิบัติตามขั้นตอน กฎการใช้กำลังของกองทัพ หลักสิทธิมนุษยชน แต่ยังมีข้อถกเถียง และช่องโหว่ โดยกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ต่างมีที่ปรึกษากฎหมายที่อาจจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ได้ จึงเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะต้องทำความเข้าใจข้อกฎหมายมากขึ้นเพื่อเพิ่ม ความมั่นในในการปฏิบัติงาน โดยการเสวนาครั้งนี้จะได้นำไปขยายผลถ่ายทอดให้กำลังพลของพล.1 รอ.เพื่อให้มีความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น
            “การเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมการของกำลังพลในการรักษาความสงบ เรียบร้อย   โดยต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก โดยทบทวนว่าที่ผ่านมาได้ปฏิบัติอยู่ในกรอบกฎหมายครบถ้วนหรือไม่ และเพื่อดูว่ากฎการใช้กำลัง 7 ขั้นตอนแข็งหรืออ่อนตัวเกินไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติได้ถูกต้อง เพราะต้องยอมรับว่า ไม่ใช่กลุ่มผู้ชุมนุมปกติ มีการจัดตั้งผู้ชุมนุมเมื่อกำหนด 7 ขั้นตอน ผู้ชุมนุมก็จะไปคิดว่าแต่ละขั้นตอนเขาจะตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างไร  ไม่ ได้เจาะจงหลังเลือกตั้ง แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย หน่วยความมั่นคงต้องพร้อมตลอด ซึ่งการจัดเสวนาครั้งนี้ ไม่ได้มีสิ่งบอกเหตุเป็นพิเศษ ไม่ได้มีนัยเป็นพิเศษ เป็นการฝึกทบทวนให้กำลังพลมีความพร้อม และ มีความเข้าใจในเรื่องกฎหมายว่า เราต้องปฏิบัติต้องทำอะไรกันบ้าง  โดยนำบทเรียนจากครั้งที่ผ่านมานำมาปรับปรุง  ในแง่ของ พล.1 รอ. ไม่ได้กังวลต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง เพียงแต่ติดตามสถานการณ์เท่านั้น และที่ทำรั้วหน่วยให้สูงขึ้นก็เป็นเพียงการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม และ รปภ.หน่วย ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม” ผบ.พล.1 รอ.
            ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวในระหว่างการเสวนาตอนหนึ่งว่า ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมาม็อบในประเทศไทยมีพัฒนาการขึ้นมา และมีค่าใช้จ่ายในการชุมนุม หากมีการชุมนุม 400 คน ก็จะต้องใช้เงินประมาณ 200,000 บาทต่อวัน ที่เกิดจากค่าอาหาร และค่าน้ำมันรถ และม็อบยุคใหม่มี 3 องค์ประกอบคือ แกนนำ แนวร่วม และ กองกำลังที่เพิ่งเกิดจากปี 2546-2547 โดยแกนนำมีอยู่ 3 ประเภท คือ 1.แบบเปิดเผยตัว 2.แบบไม่เปิดเผยตัวแต่สั่งได้ ซึ่งคนสั่งอาจจะอยู่ไกลอีกซีกโลกก็ได้ และ 3.แกนนำแบบไม่เปิดเผยแต่สนับสนุนเรื่องเงิน และ ข้อกฎหมาย ส่วนแนวร่วมมีอยู่ 3 ประเภท คือ 1.แฟนพันธุ์แท้ 2.ว่างก็มา ไม่ว่างก็มา และจะไม่ค้างคืน และ 3.ไม่ได้มาแต่เป็นกองเชียร์ ทั้งนี้เมื่อพัฒนาการชุมนุมเปลี่ยนไปแต่การปฏิบัติหน้าที่ของทหาร และ ตำรวจ ยังเหมือนเดิม ที่ผ่านมาอุปกรณ์ในการปฏิบัติภารกิจ อาทิ รถน้ำ หรือ แม้แต่เสื้อเกราะ ทางตำรวจก็จะต้องจัดซื้อแจกเอง ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องสนับสนุน ความจริงปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้อยู่ที่กฎหมายมีหรือไม่ แต่ตนก็อยากจะให้มี เพราะจะได้ไม่ใช้กฎหมาย พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แบบพร่ำเพรื่อ
            พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวอีกว่า ส่วนการชุมนุมขณะนี้ยังเป็นไปด้วยความสงบและยังไม่พบอาวุธ แต่การที่คน 200 คนมาปิดถนนมันน่ารำคาญและมีคนตั้งคำถามว่า ตำรวจไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ถามว่าตนจะนำกฎหมายข้อไหนมาใช้ วันนี้เราจะต้องหากฎหมายอะไรสักอันที่เป็นวรรคก่อนหน้าคำว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกมา และจะต้องบอกว่าหากมีการชุมนุมจะต้องทำอย่างไร เช่นจะต้องไปขออนุญาตศาลหรือไม่ ส่วนการปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ต้องคำนึงกฎการใช้กำลัง 7 ขั้นตอน โดยจะพิจารณาเริ่มดำเนินการจากจุดใดให้ดีที่สุดต่อสถานการณ์
            ส่วน พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า เท่าที่ตนมีการสอบสวนกองเชียร์บาร์เซโลนา มือยิงเอ็ม 79 รวมถึงกองเชียร์บาร์เซโลนาที่ไปฝึกที่ประเทศกัมพูชา จึงรู้ว่างานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หนักและเสี่ยงอันตรายมากขึ้น การชุมนุมมีเงินสนับสนุนโดยแต่ละครั้งที่มีจ้างขว้างระเบิดจะได้ 1 หมื่นบาท และถึงมือผู้ขว้างระเบิด 5 พันบาท ส่วนเอ็ม 79 ยิงศูนย์ราชการได้ 5 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังพบข้อมูลยังมีการฝึกมือยิงระเบิดเอ็ม 79 กว่า 300 คน ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ที่ผ่านมาเราใช้เงินไปกับภัยคุกคามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้งบประมาณไป 1.4 แสนล้านบาท แต่ภัยคุกคามที่เกี่ยวกับความความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่เห็นว่า จะจบได้หลังวันที่ 3 ก.ค. ไม่ว่า ใครจะขึ้นมา จะมีอะไรตามมาแน่นอน ซึ่งตนเห็นด้วยว่าจะต้องมีกฎหมายอะไรขึ้นมา ทั้งในส่วนกติกา ท่านจะต้องยึดใน 3 หลัก คือ 1.แนวคำพิพากษาของศาล 2.หลักสากล และ 3.หลักการป้องกันตัวที่ไม่เกินขอบเขต ทั้งนี้การดำเนินการเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมจะต้องมีการดำเนินการตามขั้น ตอนหลักสากล 7 ขั้นตอน มาตรา 22 เขียนไว้ว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย รวมความถึงตำรวจ และ เจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งการดำเนินการต้องเคารพคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชนทุกคน ส่วนมาตรา 35 เรื่องการใช้กำลังจะใช้ได้จะต้องไม่เกินกว่าเหตุ และจะต้องได้สัดส่วน ซึ่งจะไปโยงกับ ป.วิอาญามาตรา 68 และ 69 ซึ่งหลังวันที่ 3 ก.ค.นี้ ให้นับถอยหลังไปเลย และเตรียมไว้เลย 
            “การชุมนุมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงให้ใช้อาวุธได้ หากไม่สามารถใช้มาตรการอื่น ๆ ที่อันตรายน้อยกว่านี้ได้ ทั้งนี้การใช้กำลังกดดันกองกำลังทหาร มีการยั่วยุ ต่อสู้ ปะทะกัน ดังนั้นการควบคุมสั่งการเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในต่างประเทศเขาจะจัดทำคู่มือให้กับข้าราชการที่ปฏิบัติพกติดตัวไปด้วย ที่พอจะทำให้เขาสามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ สรุปว่า ท่านควรจะต้องศึกษาทำความเข้าใจกับคำสั่ง คำพิพากษาของศาล ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุ้มครองท่านพอสมควร ถ้าท่านปฏิบัติตามเงื่อนไข ท่านมีอำนาจเหลือเฟือ เมื่อมีเหตุการณ์ท่านต้องพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้กำลัง หรือหลีกเลี่ยงการปะทะ บางครั้งการสูญเสียอะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้สูญเสียอะไรมากไปกว่านั้นก็ถือว่า จำเป็น”พล.ต.ท.พงศ์อินทร์ กล่าว
            นายชัยรัตน์   ขนิษฐบุตร  ผอ.สำนักกฎหมาย สำนักงาน ป.ป.ช.กล่าวถึง การปฏิบัติงานของข้าราชการต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดความสูญเสีย น้อยที่สุด คุ้มครองตัวเองได้ ถือเป็นภาระหนักของเจ้าหน้าที่ ไม่รวมความลำบากจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถูกทำงานเสร็จแล้วต้องถูกสอบสวน น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรื่องการร้องเรียนการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถห้ามได้  จึงจำเป็นต้องเป็นหลักในการแก้ต่างว่าจะทำอย่างไร  ถ้าหากว่าเราปฏิบัติโดยการละเว้น หรือ ปฏิบัติไม่ชอบ ก็จะเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นเสียหาย และจะถูกร้องเรียน  กฎการใช้กำลัง 7 ขั้นตอนถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดีจากเบาไปหาหนัก เพราะตอนนี้ไม่มีกฎหมายเฉพาะ มีอยู่ 2 เรื่อง ที่คุ้มครองไม่ให้เจ้าหน้าที่ร้องเรียน คือ เจ้าหน้าที่ต้องเตือนก่อนปฏิบัติทุกขั้นตอน เมื่อมีร้องเรียนก็ต้องนำระเบียบ กฎข้อบังคับมาดู และหน่วยปฏิบัติต้องบันทึกรายละเอียดการปฏิบัติทั้งหมดและรายงานผู้บังคับ บัญชาโดยเร็ว ในรายละเอียดต้องระบุวันเวลา สถานที่บุคคลที่เกี่ยวข้อง  สาเหตุการใช้กำลังอาวุธ รวมทั้งผลปรากฏจากการใช้กำลังและอาวุธ  รวมถึงการแผนผังเหตุการณ์  ถ้ามีการร้องเรียนจะได้นำหลักฐานมาอ้างอิงได้  โดยเฉพาะพยานบุคคล ต้องเลือกจากชาวบ้าน  ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน เพื่อให้คำให้การมีน้ำหนัก
            นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา ให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวกับเจ้าหน้าที่กรณีที่ถูกมวลชนปิดล้อมขัดขวางการ ปฏิบัติงาน พร้อมทั้งมีแนวโน้มที่จะยึดอาวุธว่า การปฏิบัติขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และต้องเปรียบเทียบสัดส่วนของภัยที่จะเกิดขึ้น  โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถที่จะป้องกันตัวได้  เป็นไปตามกฎหมายอาญา ตาม ม.68 เมื่อ มีภัยคุกคามถึงบุคคลใดก็สามารถป้องกันตัวได้ เช่น ถ้าคนร้ายถือปืนเข้ามา ก็ยิงได้ นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันตัวล่วงหน้า ถ้าหากมีการคาดหมายว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้นเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุม เข้ามาประชิดตัว กรณีการยึดอาวุธของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าไม่ใช่การ ชุมนุมโดยสงบ เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าพนักงาน สามารถป้องกันตัวเองได้ตามความเหมาะสม  กฎหมายของเราดีกว่าประเทศอื่นในโลก แต่กลไกการปฏิบัติงานของเจ้าหน้ายังกลัว และแหยงกันอยู่ อยากให้ขจัดส่วนนี้ไป โดยคำนึงถึงการปกป้องคนส่วนใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าคนพวกนั้นจะอยู่ข้างพวกท่าน
            นายภัทรศักดิ์ กล่าวว่า กรณีที่จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมล้อมรถและยึดอาวุธเจ้าหน้าที่รวมถึงทำร้ายทหารจน ถึงขั้นปางตาย  ขั้นตอนแรกต้องมีเครื่องมือให้พร้อม มีกระสุนยาง เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญ ถ้าไม่สามารถระงับได้ก็ใช้กระสุนจริง ก็ยิ่งไปในจุดที่ไม่ให้อันตรายถึงชีวิต สำหรับกรณีการบุกค่ายทหาร  อย่างแรกที่ต้องพิจารณาคือการใช้มาตรการเบา โดยใช้กุญแจมือหรือเชือกมัดตัว ใครก็ตามที่บุกเข้าไปในเขตต้องห้าม  ส่วนการยิงปืนขึ้นฟ้าทำได้เพื่อข่มขู่แต่การชี้แจงทำความเข้าใจก่อนเป็น เรื่องสำคัญ  หาก ทำสองกรณีแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนนำ มีความจำเป็นต้องจัดการกับคนนำ หรือควบคุมตัวไว้หรือไม่ โดยในค่ายทหารมีอาวุธ ยุทโธปกรณ์  ก็เป็นอันตรายในการนำอาวุธไปก่อเหตุ เพราะฉะนั้นให้เจ้าหน้าที่ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หากบุกยึดได้ก็จะเป็นปัญหาต่อกลไกความน่าเชื่อของรัฐ
            พ.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ ผอ.กองกฤษฎีกาและการต่างประเทศกรมพระธรรมนูญ กล่าวว่า กรณีบุกค่ายทหาร ตอนกลุ่มเสื้อแดงจะบุก ร.11 รอ. สถานการณ์ในขณะนั้นเราได้มีการเตรียมร่างกฎอัยการศึกไว้เพื่อรองรับ สถานการณ์ หากกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาพื้นที่รับผิดชอบก็จะสามารถใช้อาวุธได้มากกว่าปกติ  อยากให้หน่วยทหารร่างกฎอัยการศึกรองรับไว้หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น


     แนวหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง