บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

"ปานเทพ" เผยวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระสร้างพ.ศ. 2546 เขมรละเมิดMOU43ถึง 121 ครั้งไทยไม่โต้แย้ง ย้ำสัญญาหยุดยิง ทำให้ไทยเสียแผ่นดินในทางปฏิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย แนะ 3 ทางออกปลดแอกไทย



"ปานเทพ" เผยวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระสร้างพ.ศ. 2546 เขมรละเมิดMOU43ถึง 121 ครั้งไทยไม่โต้แย้ง ย้ำสัญญาหยุดยิง ทำให้ไทยเสียแผ่นดินในทางปฏิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย แนะ 3 ทางออกปลดแอกไทย          
วันที่ 24 ก.พ. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงคำพูดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ว่า หากไทยเสียดินแดนจริง ในร่างแถลงการณ์อาเซียนคงไม่พูดถึงประเทศไทย นั้น นายกฯพูดไม่ครบ ในทางปฎิบัติ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่าในการไปสำรวจว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ อยู่ฝั่งไทยหรือเขมร จะมีทหารไทย 15 คน และทหารเขมร 15 คน เพื่อยืนยันจะไม่มีการปะทะกัน คำถามมีอยู่ว่า ทหารทั้งสองฝ่ายจะยืนอยู่ที่ไหน ไทยยืนเขตที่ปะทะกันมันก็เป็นพื้นที่ของไทยอยู่แล้วถ้ายึดตามขอบสันปันน้ำ แต่ถ้ากัมพูชามายืนอยู่บนยอดเขาวิหาร หมายความว่าเขมรกำลังพูดว่าพื้นที่แถวนั้นเป็นของกัมพูชา              นายปานเทพ กล่าวต่อว่า คำว่าทวิภาคี คือ ให้เฉพาะสองประเทศเจรจากัน โดยไม่มีประเทศที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่กรณีประเทศที่สามให้เอาทหารเข้ามาฝ่ายละ15 คน จุดประสงค์เพื่อไม่ให้ปะทะกัน เท่ากับไทยสละสิทธิแล้วที่จะใช้กำลังทหารผลักดันเขมรที่ยึดครองแผ่นดินไทยอยู่              ส่วนที่นายกฯบอกว่า รัฐบาลจะไปถอนทหารหรือหยุดยิงเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีอย่างนั้น เมื่อนายกฯยืนยันเช่นนี้ แล้วข้อตกลง 8 ข้อ ให้หยุดยิง หมายความว่าอย่างไร และนายกฯบอกว่าเป็นแค่สัญญาลูกผู้ชาย แต่เหตุใดสัญญาลูกผู้ชายกำหนดสนับสนุนให้เป็นพันธะผูกพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่สำคัญยังไปรายงานบันทึกให้อาเซียนทราบด้วย นี่แสดงว่าไม่ใช่บันทึกแค่เจรจาสองฝ่าย ในแถลงการฉบับนี้ ยินดีสนับสนุน ในการสละการใช้กำลัง หมายความว่า ทั้งเวทีมนตรีคณะความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เราไม่ได้บอกเลยว่าเขมรรุกล้ำดินแดนไทยต้องให้ออกไปก่อน และเขมรละเมิด MOU43 ถึง 121 ครั้งต้องออกจากพื้นที่โดยทันที ทำไมไทยไม่โต้แย้ง              “เดี๋ยวนี้นายกฯไม่พูดแล้ว ว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ อยู่ในพื้นที่ไหน พูดแต่เป็นพื้นที่พิพาท ขณะที่กัมพูชาบอกว่าเป็นพื้นที่ของเขา อย่างไรก็ดีตอนเป็นฝ่ายค้านนายกฯรู้ดีทุกอย่าง แต่ขณะนี้คนในรัฐบาลพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ เหตุผลคือไม่ให้มีการปะทะ เสียดินแดนช่างมัน นี่คือหลักความคิดนายกฯใช่หรือไม่”             




<CENTER>
</CENTER>





              นายปานเทพ กล่าวว่าก่อนมีMOU43 ไม่มีถนนตามเส้นสีเหลือง เมื่อใช้MOU43 เขมรทยอยสร้างถนน จากบ้านโกมุยฝั่งเขมร ถึงยอดปราสาทเขาวิหาร โดยไม่ต้องขึ้นทางฝั่งไทยอีกต่อไป ถามว่าเสียดินแดนแล้วหรือยัง จากการสร้างถนนของเขมรซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสามารถขนอาวุธ ขึ้นไปยอดเขาวิหาร ตั้งป้อมยิงทำร้ายประเทศไทยได้ ดังนั้นหากไทยตัดสินใจหยุดยิง หมายความว่าพื้นที่ที่เขมรครอบครองอยู่ด้วยกองกำลังทหาร จะไม่มีใครไปผลักดัน จนกว่าจะเจรจากันได้ ทั้งนี้ หากกัมพูชาไม่พอใจผลการเจรจาตามเขตแดนที่เขาต้องการ เขาจะอยู่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด หมายความว่าในทางปฎิบัติไทยได้สูญเสียผืนแผ่นดินแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย              วันที่ 31 ม.ค. 2554 กระทรวงการต่างประเทศบอกว่า พื้นที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เป็นของไทย กัมพูชาต้องรื้อวัดออกโดยทันที วันต่อมาเขมรแถลงโต้ว่าเป็นพื้นที่ของเขาโดยอ้างMOU43 ผนวกคำพิพากษาศาลโลก ว่าวัดแก้วฯสร้างพ.ศ. 2541 ส่วนMOUเขียนเมื่อพ.ศ.2543 มีข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้นายกฯและกระทรวงกลาโหมของไทย รีบบอกกระทรวงการต่างประเทศ ว่า อย่าพูดเพราะวัดแก้วฯสร้างก่อน พ.ศ.2543              “ตน และนายเทพมนตรี รู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ สร้างเมื่อพ.ศ. 2546 เราอยากวัดใจว่า รัฐบาลจะกล้าผลักดันหรือไม่ หรือจะอ้างเงื่อนไขของกัมพูชาว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ที่ผ่านมาได้เห็นแล้วว่าคนที่พูดเหมือนกัมพูชาแท้ที่จริงก็คือรัฐบาลไทย ไม่มีใครพูดถึงเลยว่าวัดนี้สร้างใน พ.ศ. 2546”              นายปานเทพ เสนอทางออก ว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนที่อยู่แห่งนี้ และประชาชนที่ชมASTVอยู่ทางบ้าน ซึ่งตนมั่นใจว่าอาจมากกว่าตรงนี้หลายร้อยเท่า ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้จากหลักฐานต่างๆ ไม่มีใครคิดเป็นอย่างอื่นได้ เราเสียดินแดนแล้วแน่นอน นายกฯจะหลอกคนไทย สิ่งที่พอทำได้ตอนนี้ (1.)รัฐบาล ไม่ว่าทหารหรือนักการเมืองต้องเปลี่ยนใจเอง แต่ตรงนี้คงเป็นไปไม่ได้ อาจเป็นเพราะว่าประชาชนยังออกมาชุมนุมไม่มากพอ ที่จะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนใจ ดังนั้นประชาชนผู้รักชาติต้องออกมา ( 2.)ต้องเปลี่ยนรัฐบาล แต่หากเปลี่ยนรัฐบาลแล้วว่าเราจะมั่นใจได้หรือว่าคนที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลเขาจะทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตย เปลี่ยนแล้วพรรคฝ่ายค้านจะขึ้นมาเปลี่ยนตามที่เราต้องการได้หรือไม่ ดังนั้นถ้าเปลี่ยนเราต้องเชื่อมั่นว่า เปลี่ยนแล้วสามารถปกป้องอธิปไตยของชาติได้ และ(3.)ทางออกสุดท้ายพึ่งอำนาจศาลยุติธรรม เพื่อให้ยกเลิกMOU43 ตอนนี้ตนได้ยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกไปแล้ว ซึ่งศาลได้ยกฟ้องโดยท่านบอกว่าเป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ จากนั้นตนได้อุทธรต่อสาลปกครองสูงสุด ว่า MOU43 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้หากศาลวินิจฉัยว่าขัดต่อกฏหมายรัฐธรรมนูญ จะส่งผลให้MOU43นำไปใช้ไม่ได้เพราะเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น จะทำให้ไทย-กัมพูชา ไม่มีสนธิสัญญาตามแผนที่ 1:200000 เราจะสามารถอ้างคำพิพากษาเขมรได้เฉพาะตัวปราสาท จากนั้นจะใช้สนธิสัญญาที่มีต่อกัน ยึดเฉพาะขอบหน้าผาตามเดิม ทำให้เราผลักดันเขมรออกไปได้ทันที              “ย้ำข้อสังเกตที่เกิดในสภา ไม่ผูกพันที่กัมพูชาจะยึดด้วย เราลงนายอมรับแผนที่ 1:200000 ในMOU43 ซึ่งเขมรมีเอกสารย้อนหลังถึงที่มาที่ไปยืนยันว่าไทยยอมรับแล้ว ดังนั้น เราจะพูดฝ่ายเดียวไม่ได้ วันนี้มันไปไกลถึงเวทีอาเซียน ต้องยกเลิก MOU43 ถึงจะพ้นกรอบที่กัมพูชาวางแผนไว้ได้”              นายปานเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้อยู่ในตำแหน่งและคิดอย่างนี้ ไม่มีทางที่ไทยจะทวงคืนแผ่นดินกลับมาได้ ขอให้เราตั้งข้อสังเกต ถ้าหทารอินโดนีเซีย 15 คน อยู่ในประเทศไทยแค่นี้ก็ถือว่าแย่แล้ว ว่ามาสังเกตการณ์ไม่ให้ไทยไปผลักดันทหารกัมพูชา แต่ถ้ามาอยู่บนเขาวิหารหรือวัดแก้ว แล้วกล่าวอ้างว่ายืนอยู่ในเขตกัมพูชา เท่ากับอินโดนีเซีย มาตอกย้ำความสูญเสียประเทศไทยหนักกว่าเดิม ถ้าจะบอกว่าเป็นพื้นที่ของเขมร อินโดนีเซีย อยากเข้ามาต้องอยู่ขอบหน้าผาเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง