คนไทยทุกคนควรได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยคนไทยกู้แผ่นดินเมื่อ 16 มีนาคม 2011 เวลา 3:39 น.
สรุปความเป็นมาที่สำคัญเกี่ยวกับปัญหาเส้นเขตแดน ระหว่างไทยกัมพูชา มีดังนี้
1.หนังสือสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 ก.พ. ค.ศ. 1904 ในข้อที่ 1 ได้กล่าวถึงเรื่องเขตแดนตอนหนึ่งว่า “…. ทิศเหนือขึ้นไปจนบันจบถึงภูเขาพนมดงรัก ต่อไปนั้นเขตแดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำ ในระหว่างดินแดนน้ำตก น้ำเสน และดินแดนน้ำตกแม่น้ำ ของอีกฝ่ายหนึ่ง จนบันจบภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้….” ซึ่งเป็นการระบุว่าเส้นเขตแดนบนภูเขาพนมดงรักนั้นใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขต
-ในข้อ 4 และ 5 ไทยต้องยอมยกหลวงพระบางให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับจันทบุรีที่ฝรั่งเศสยึดเอาไว้
2. หนังสือสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ในข้อ 1 และ 2 ไทย ยินยอมยกเมือง พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย และตราด ในข้อ 4 ให้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดน ทำหน้าที่ปักปันเขตแดนทั้งปวงตามที่ได้ตกลงกันใหม่นี้
รวมทั้งมีหนังสือสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตแดนต่อท้ายหนังสือสัญญาลงวันที่ 23 มี.ค. 1907
ในข้อ 1 ได้กล่าวถึงเรื่องเขตแดนตอนหนึ่งว่า “… จะต้องปักปัน ให้มีทางเดินตรงไประหว่างเมืองอรัญกับช่องตะโกคงไว้ในเขตกรุงสยาม ตั้งแต่เขาแดงแรกที่กล่าวมาข้างต้น เขตแดนต่อไปตามเขาปันน้ำ ที่ตกทะเลสาป และแม่น้ำโขงฝ่ายหนึ่ง กับที่ตกน้ำมูลอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วต่อไปจนตกแม่น้ำโขงใต้ปากมูล…” ในข้อ 1 นี้ได้แนบแผนที่ ซึ่งเขียนเส้นเขตแดนประเมินเอาไว้ด้วย ซึ่งดูจากแผนที่จะเห็นเส้นเขตแดนลากผ่านเทือกเขาพนมดงรัก แม้ไม่สามารถเห็นชัดเจนว่า ผ่านจุดใดบนเทือกเขาเพราะ แผนที่เล็กเกินไป แต่ก็สามารถนำมาประกอบกับข้อความในข้อ 1 สรุปว่า บริเวณนี้ใช้สันปันน้ำ เป็นเส้นเขตแดน
ในข้อ 3 ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ … จะต้องทำการปักปันหมายเขตลงไว้ในพื้นที่ตามเขตแดนที่ว่าไว้ในข้อ 1 … การที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง จะต้องทำไม่ให้เป็นที่ล่วงล้ำเสียประโยชน์ของรัฐบาลสยาม”
3. ในเดือน มกราคม ค.ศ. 1907 อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพได้รายงานต่อกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสว่า การปักปันเขตแดนของคณะกรรมการผสมในการกำหนดเขตแดน (ตั้งขึ้นในข้อ 3 ของสัญญาปี ค.ศ. 1904 ) ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ต่อไปเป็นขั้นตอนการจัดทำแผนที่ แต่ฝ่ายสยามยังไม่มีความรู้ และเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการผสมเมื่อ 29 พ.ย. ค.ศ. 1905 ฝ่ายสยามจึงขอให้ทางฝรั่งเศสเป็นผู้ดำเนินการ การจัดทำแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 (ต่อมาเรียกว่าแผนที่ ผนวก 1 ANNEX I map)แล้วเสร็จในปลายปี 1907 และได้ส่งมอบให้ประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1908 ซึ่งรัฐบาลสยามก็ได้รับเอาไว้แม้จะมิได้มีการลงนามยินยอมรับว่าเป็นแผนที่ที่ถูกต้องแต่ก็มิได้มีการคัดค้านแต่ประการใด จึงเป็นสาเหตุที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยเหตุผลสำคัญว่าแผนที่ 1 : 200,000 เป็นแผนที่ที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายปิดปากเพราะไทยไม่เคยทักท้วงแผนที่นี้แต่อย่างใดเลยเป็นเวลา 50 ปีมาแล้ว (แผนที่ 1 : 200,000 ได้ลากอ้อมแนวสันปันน้ำของเขาพนมดงรักเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนกัมพูชาตามแผนที่ฉบับนี้)
หมายเหตุ การปักปันเขตแดนเสร็จใน ม.ค. 1907 แต่หนังสือสัญญาสยามกับฝรั่งเศสที่มีการแลกเปลี่ยนดินแดน ลงวันที่ 23 มี.ค. 1907 จึงคาดเดาว่าคงจะไม่ได้มีการสำรวจแก้ไขการปักปันเขตแดนเพิ่มเติมในเวลาต่อมาเพราะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับคณะทำงานการปักปันเขตเเดนอีกเลย
4. สรุปเหตุผลในคำพิพากษาของศาลโลก (9 ต่อ 3)
4.1 ฝ่ายไทยมิได้ทำการทักท้วงแผนที่ 1: 200,000 มาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อได้รับแผนที่นี้มาจากฝรั่งเศส
4.2 ฝ่ายไทยมิได้มีการทักท้วงในเวลาต่อมาอีก 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้ง ในการประชุม เพื่อทำสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ปี พ.ศ. 2468 ( 1925 ) และ ปีพ.ศ. 2490 (1947) ช่วงเวลาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ครั้งที่ 3 เมื่อฝ่ายไทยทำการสำรวจบริเวณที่เป็นข้อพิพาทเมื่อ พ.ศ. 2477-2478 (1934-1935) แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงเช่นกัน
4.3 ศาลมีความเห็นว่าในปี พ.ศ. 2451-2452 ( 1908-1909) ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน
4.4 ศาลมีความเห็นว่าฝ่ายไทยไม่อาจอ้างว่ามีความเข้าใจผิดโดยเชื่อว่า เส้นในแผนที่และสันปันน้ำเป็นเส้นเดียวกัน
4.5 ศาลมีความเห็นว่า การที่ฝ่ายไทยอ้างแผนที่แนบท้ายสัญญาไม่ถูกต้องนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างยึดประโยชน์ตามเส้นที่ลากในแผนที่แนบท้ายสัญญามาโดยตลอด
ความคิดเห็นของผู้เขียน
-ในสถานการณ์ขณะนั้น ไทยไม่กล้าที่จะประท้วงเพราะกลัวถูกยึดประเทศ ศาลโลกไม่ได้พิจารณาที่ต้นเหตุว่า การที่ไทยไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 เพราะการจัดทำแผนที่ดังกล่าวนั้นไม่ตรงกับสนธิสัญญา และไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการจัดทำแผนที่ แต่ศาลโลกกลับพิจารณาที่ปลายเหตุไม่ว่าแผนที่จะลากเส้นเขตแดนพิสดารอย่างไร เมื่อฝ่ายไทยไม่คัดค้านถือว่าแผนที่ถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตามปัจจุบันต้องถือว่า ประเทศไทยได้มีการคัดค้านแผนที่ 1:200,000 ไปแล้วตั้งแต่วันขึ้นศาลโลก
-ไทยไม่ได้ยึดประโยชน์ตามเส้นที่ลากในแผ่นที่ตามศาลโลกอ้าง แต่ไทย ยึดสันปันน้ำจึงไปครอบครองปราสาทพระวิหาร
5.สรุปข้อคิดเห็นของผู้พิพากษา 3 ประเทศ
5.1 อาร์เจนติน่า สารัตถะสำคัญที่ศาลควรจะตัดสินได้แก่ การตีความในข้อ 1 ของสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 ซึ่งเป็นผลมาจากการพิจารณากำหนดสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
5.2 จีน กัมพูชาไม่สามารถพิสูจน์ลักษณะผูกผันที่มาของการลากเส้นในแผนที่ 1:200,000 นี้ได้ (เหตุผลว่าทำไมจึงลากเล้นแบบนี้) สำหรับการนิ่งเฉยของประเทศไทยแล้วถือว่าเป็นการยอมรับแผนที่ดังกล่าวนั้น ฟังไม่ได้ข้อเท็จจริง และไม่มีข้อสนับสนุนทางกฎหมาย
5.3 ออสเตรเลีย ในความเป็นจริงเส้นเขตแดนบนทิวเขานี้ คือสันปันน้ำ การที่ไปนำเอาเส้นอีกเส้นหนึ่งมาเป็นเส้นเขตแดนโดยอ้างหลักคิด ว่าการนิ่งเฉยเป็นการยอมรับนั้น ถือเป็นหลักคิดที่ผิด
-ปัญหาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา คงจะไม่จบลงอย่างง่ายๆ และถือว่าเป็นปัญหายิ่งใหญ่ของชาติ คนไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอย่างรอบคอบโดยต้องหลีกเลี่ยงแนวทางที่จะทำให้เกิดสงครามขนาดใหญ่ควบคู่ไปด้วย เพราะจะทำให้เกิดปัญาอื่นๆตามมาอีกมากมาย แต่การป้องกันตัวเองของทหาร การรักษาผืนแผ่นดิน การเจรจาก็เป็นเรื่องที่สำคัญและมีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ส่วนการที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.กต. ได้ไปกล่าวในที่ประชุม UNSC เมื่อ 14 ก.พ. 54 นั้นก็ยังมีจุดอ่อนที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง นายกษิต น่าจะใช้โอกาสนี้กล่าวทักท้วงว่าประเทศไทยไม่ได้รุกรานและไม่ยอมรับแผนที่ 1: 200,000 เนื่องจากไม่ได้จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญาและไม่เป็นไปตามหลักสากล พื้นที่ซึ่งมีการสู้รบนั้นยังอยู่ในเขตแดนไทย ดังนั้นการพิจารณาปัญหาสำคัญนี้จีงไม่ควรจะอยู่แค่ นรม. และรมว.กต. สองคน และไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น จำเป็นต้องพิจารณาเป็นองค์รวมทุกเรื่อง และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้
-เรื่องMOU 43 ในข้อที่ 1 ได้กล่าวถึงการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนนั้นให้เป็นไปตามเอกสารสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1 ) อนุสัญญา สยาม – ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 2) สนธิสัญญา สยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และ 3) แผนที่ 1: 200,000 ถือว่า MOU ข้อนี้ สร้างปัญหาหนักขึ้นไปอีกในเมื่อ ข้อ 1) และข้อ 2) นั้นมันขัดกับข้อ 3) ในเรื่องการลากเส้นเขตแดนที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นจะใช้ทั้ง 3 ข้อมาจัดทำหลักเขตแดนก็ไม่ได้
-เรื่อง MOU 43 ในข้อ 5 นั้น เป็นข้อสำคัญโดยมีเจตนาที่จะมิให้ทั้ง 2 ประเทศ เข้าไปดำเนินการใดๆในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยังมีการละเมิดข้อตกลงนี้บ่อยครั้ง แทบจะทำให้ MOU นี้หมดความหมาย และฝ่ายไทยจะนำมาเป็นข้ออ้างยกเลิก MOU ได้ แต่ก็ต้องดูผลได้ผลเสียว่า ทั้งเลิกและไม่เลิกประเทศไทยจะได้อะไรและเสียอะไร
ข่าวการปะทะกันของทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณชายแดนเมื่อ 15-16 ก.พ. 54 นั้น น่าเป็นห่วงทหารไทยในแนวหน้าขวัญจะเสีย เนื่องจาก ทหารกัมพูชาใช้ยุทธวิธีการจัดชุด ลอบเข้ามาโจมตีโฉบฉวย ต่อทหารไทยในเวลากลางคืน ขณะที่นายทหารผู้ใหญ่ฝ่ายไทย ให้สัมภาษณ์ว่าทหารไทยจะทำการตอบโต้ตามความเหมาะสมนั้น แสดงว่าทหารไทยจะใช้ยุทธวิธีตั้งรับตามแนว อยู่กับที่ก็เหมือนกับเป็นเป้า คอยเวลาให้ทหารกัมพูชาโจมตีก่อนเพียงอย่างเดียว ยุทธวิธีแบบนี้ ฝรั่งเศสเคยพ่ายแพ้ต่อเวียตกงมาแล้วที่เดียนเบียนฟู
ตราบใดที่รัฐบาลไทย ยังให้นายกษิต ภิรมย์ ซึ่งเคยด่านายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างรุนแรง เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ย่อมไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
สรุปเขมรฟ้องเรื่องปราสาทพระวิหาร ศาลโลกก็ตัดสินเฉพาะปราสาทพระวิหาร โดยพิจารณาว่าเส้นเขตเเดนของ 2 ประเทศเป็นไปตามเเผนที่ 1:200,000 ซึ่งศาลโลกไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตเเดน เเต่ก็เป็นข้ออ้างของกัมพูชาว่า เส้นเขตเเดนต้องเป็นไปตามเเผนที่ 1:200,000 เพราะผ่านการพิจารณาของศาลโลกมาเเล้ว ดังนั้นจึงคิดที่จะนำเรื่องเส้นเขตเเดนยื่นฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง หากเป็นจริงเชื่อว่าสุดท้ายจะไม่มีใครยอมรับคำตัดสินของศาลโลกอย่างเเน่นอน
1.หนังสือสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 ก.พ. ค.ศ. 1904 ในข้อที่ 1 ได้กล่าวถึงเรื่องเขตแดนตอนหนึ่งว่า “…. ทิศเหนือขึ้นไปจนบันจบถึงภูเขาพนมดงรัก ต่อไปนั้นเขตแดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำ ในระหว่างดินแดนน้ำตก น้ำเสน และดินแดนน้ำตกแม่น้ำ ของอีกฝ่ายหนึ่ง จนบันจบภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้….” ซึ่งเป็นการระบุว่าเส้นเขตแดนบนภูเขาพนมดงรักนั้นใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขต
-ในข้อ 4 และ 5 ไทยต้องยอมยกหลวงพระบางให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับจันทบุรีที่ฝรั่งเศสยึดเอาไว้
2. หนังสือสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ในข้อ 1 และ 2 ไทย ยินยอมยกเมือง พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย และตราด ในข้อ 4 ให้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดน ทำหน้าที่ปักปันเขตแดนทั้งปวงตามที่ได้ตกลงกันใหม่นี้
รวมทั้งมีหนังสือสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตแดนต่อท้ายหนังสือสัญญาลงวันที่ 23 มี.ค. 1907
ในข้อ 1 ได้กล่าวถึงเรื่องเขตแดนตอนหนึ่งว่า “… จะต้องปักปัน ให้มีทางเดินตรงไประหว่างเมืองอรัญกับช่องตะโกคงไว้ในเขตกรุงสยาม ตั้งแต่เขาแดงแรกที่กล่าวมาข้างต้น เขตแดนต่อไปตามเขาปันน้ำ ที่ตกทะเลสาป และแม่น้ำโขงฝ่ายหนึ่ง กับที่ตกน้ำมูลอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วต่อไปจนตกแม่น้ำโขงใต้ปากมูล…” ในข้อ 1 นี้ได้แนบแผนที่ ซึ่งเขียนเส้นเขตแดนประเมินเอาไว้ด้วย ซึ่งดูจากแผนที่จะเห็นเส้นเขตแดนลากผ่านเทือกเขาพนมดงรัก แม้ไม่สามารถเห็นชัดเจนว่า ผ่านจุดใดบนเทือกเขาเพราะ แผนที่เล็กเกินไป แต่ก็สามารถนำมาประกอบกับข้อความในข้อ 1 สรุปว่า บริเวณนี้ใช้สันปันน้ำ เป็นเส้นเขตแดน
ในข้อ 3 ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ … จะต้องทำการปักปันหมายเขตลงไว้ในพื้นที่ตามเขตแดนที่ว่าไว้ในข้อ 1 … การที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง จะต้องทำไม่ให้เป็นที่ล่วงล้ำเสียประโยชน์ของรัฐบาลสยาม”
3. ในเดือน มกราคม ค.ศ. 1907 อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพได้รายงานต่อกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสว่า การปักปันเขตแดนของคณะกรรมการผสมในการกำหนดเขตแดน (ตั้งขึ้นในข้อ 3 ของสัญญาปี ค.ศ. 1904 ) ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ต่อไปเป็นขั้นตอนการจัดทำแผนที่ แต่ฝ่ายสยามยังไม่มีความรู้ และเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการผสมเมื่อ 29 พ.ย. ค.ศ. 1905 ฝ่ายสยามจึงขอให้ทางฝรั่งเศสเป็นผู้ดำเนินการ การจัดทำแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 (ต่อมาเรียกว่าแผนที่ ผนวก 1 ANNEX I map)แล้วเสร็จในปลายปี 1907 และได้ส่งมอบให้ประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1908 ซึ่งรัฐบาลสยามก็ได้รับเอาไว้แม้จะมิได้มีการลงนามยินยอมรับว่าเป็นแผนที่ที่ถูกต้องแต่ก็มิได้มีการคัดค้านแต่ประการใด จึงเป็นสาเหตุที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยเหตุผลสำคัญว่าแผนที่ 1 : 200,000 เป็นแผนที่ที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายปิดปากเพราะไทยไม่เคยทักท้วงแผนที่นี้แต่อย่างใดเลยเป็นเวลา 50 ปีมาแล้ว (แผนที่ 1 : 200,000 ได้ลากอ้อมแนวสันปันน้ำของเขาพนมดงรักเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนกัมพูชาตามแผนที่ฉบับนี้)
หมายเหตุ การปักปันเขตแดนเสร็จใน ม.ค. 1907 แต่หนังสือสัญญาสยามกับฝรั่งเศสที่มีการแลกเปลี่ยนดินแดน ลงวันที่ 23 มี.ค. 1907 จึงคาดเดาว่าคงจะไม่ได้มีการสำรวจแก้ไขการปักปันเขตแดนเพิ่มเติมในเวลาต่อมาเพราะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับคณะทำงานการปักปันเขตเเดนอีกเลย
4. สรุปเหตุผลในคำพิพากษาของศาลโลก (9 ต่อ 3)
4.1 ฝ่ายไทยมิได้ทำการทักท้วงแผนที่ 1: 200,000 มาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อได้รับแผนที่นี้มาจากฝรั่งเศส
4.2 ฝ่ายไทยมิได้มีการทักท้วงในเวลาต่อมาอีก 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้ง ในการประชุม เพื่อทำสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ปี พ.ศ. 2468 ( 1925 ) และ ปีพ.ศ. 2490 (1947) ช่วงเวลาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ครั้งที่ 3 เมื่อฝ่ายไทยทำการสำรวจบริเวณที่เป็นข้อพิพาทเมื่อ พ.ศ. 2477-2478 (1934-1935) แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงเช่นกัน
4.3 ศาลมีความเห็นว่าในปี พ.ศ. 2451-2452 ( 1908-1909) ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน
4.4 ศาลมีความเห็นว่าฝ่ายไทยไม่อาจอ้างว่ามีความเข้าใจผิดโดยเชื่อว่า เส้นในแผนที่และสันปันน้ำเป็นเส้นเดียวกัน
4.5 ศาลมีความเห็นว่า การที่ฝ่ายไทยอ้างแผนที่แนบท้ายสัญญาไม่ถูกต้องนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างยึดประโยชน์ตามเส้นที่ลากในแผนที่แนบท้ายสัญญามาโดยตลอด
ความคิดเห็นของผู้เขียน
-ในสถานการณ์ขณะนั้น ไทยไม่กล้าที่จะประท้วงเพราะกลัวถูกยึดประเทศ ศาลโลกไม่ได้พิจารณาที่ต้นเหตุว่า การที่ไทยไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 เพราะการจัดทำแผนที่ดังกล่าวนั้นไม่ตรงกับสนธิสัญญา และไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการจัดทำแผนที่ แต่ศาลโลกกลับพิจารณาที่ปลายเหตุไม่ว่าแผนที่จะลากเส้นเขตแดนพิสดารอย่างไร เมื่อฝ่ายไทยไม่คัดค้านถือว่าแผนที่ถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตามปัจจุบันต้องถือว่า ประเทศไทยได้มีการคัดค้านแผนที่ 1:200,000 ไปแล้วตั้งแต่วันขึ้นศาลโลก
-ไทยไม่ได้ยึดประโยชน์ตามเส้นที่ลากในแผ่นที่ตามศาลโลกอ้าง แต่ไทย ยึดสันปันน้ำจึงไปครอบครองปราสาทพระวิหาร
5.สรุปข้อคิดเห็นของผู้พิพากษา 3 ประเทศ
5.1 อาร์เจนติน่า สารัตถะสำคัญที่ศาลควรจะตัดสินได้แก่ การตีความในข้อ 1 ของสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 ซึ่งเป็นผลมาจากการพิจารณากำหนดสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
5.2 จีน กัมพูชาไม่สามารถพิสูจน์ลักษณะผูกผันที่มาของการลากเส้นในแผนที่ 1:200,000 นี้ได้ (เหตุผลว่าทำไมจึงลากเล้นแบบนี้) สำหรับการนิ่งเฉยของประเทศไทยแล้วถือว่าเป็นการยอมรับแผนที่ดังกล่าวนั้น ฟังไม่ได้ข้อเท็จจริง และไม่มีข้อสนับสนุนทางกฎหมาย
5.3 ออสเตรเลีย ในความเป็นจริงเส้นเขตแดนบนทิวเขานี้ คือสันปันน้ำ การที่ไปนำเอาเส้นอีกเส้นหนึ่งมาเป็นเส้นเขตแดนโดยอ้างหลักคิด ว่าการนิ่งเฉยเป็นการยอมรับนั้น ถือเป็นหลักคิดที่ผิด
-ปัญหาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา คงจะไม่จบลงอย่างง่ายๆ และถือว่าเป็นปัญหายิ่งใหญ่ของชาติ คนไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอย่างรอบคอบโดยต้องหลีกเลี่ยงแนวทางที่จะทำให้เกิดสงครามขนาดใหญ่ควบคู่ไปด้วย เพราะจะทำให้เกิดปัญาอื่นๆตามมาอีกมากมาย แต่การป้องกันตัวเองของทหาร การรักษาผืนแผ่นดิน การเจรจาก็เป็นเรื่องที่สำคัญและมีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ส่วนการที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.กต. ได้ไปกล่าวในที่ประชุม UNSC เมื่อ 14 ก.พ. 54 นั้นก็ยังมีจุดอ่อนที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง นายกษิต น่าจะใช้โอกาสนี้กล่าวทักท้วงว่าประเทศไทยไม่ได้รุกรานและไม่ยอมรับแผนที่ 1: 200,000 เนื่องจากไม่ได้จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญาและไม่เป็นไปตามหลักสากล พื้นที่ซึ่งมีการสู้รบนั้นยังอยู่ในเขตแดนไทย ดังนั้นการพิจารณาปัญหาสำคัญนี้จีงไม่ควรจะอยู่แค่ นรม. และรมว.กต. สองคน และไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น จำเป็นต้องพิจารณาเป็นองค์รวมทุกเรื่อง และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้
-เรื่องMOU 43 ในข้อที่ 1 ได้กล่าวถึงการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนนั้นให้เป็นไปตามเอกสารสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1 ) อนุสัญญา สยาม – ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 2) สนธิสัญญา สยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และ 3) แผนที่ 1: 200,000 ถือว่า MOU ข้อนี้ สร้างปัญหาหนักขึ้นไปอีกในเมื่อ ข้อ 1) และข้อ 2) นั้นมันขัดกับข้อ 3) ในเรื่องการลากเส้นเขตแดนที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นจะใช้ทั้ง 3 ข้อมาจัดทำหลักเขตแดนก็ไม่ได้
-เรื่อง MOU 43 ในข้อ 5 นั้น เป็นข้อสำคัญโดยมีเจตนาที่จะมิให้ทั้ง 2 ประเทศ เข้าไปดำเนินการใดๆในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยังมีการละเมิดข้อตกลงนี้บ่อยครั้ง แทบจะทำให้ MOU นี้หมดความหมาย และฝ่ายไทยจะนำมาเป็นข้ออ้างยกเลิก MOU ได้ แต่ก็ต้องดูผลได้ผลเสียว่า ทั้งเลิกและไม่เลิกประเทศไทยจะได้อะไรและเสียอะไร
ข่าวการปะทะกันของทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณชายแดนเมื่อ 15-16 ก.พ. 54 นั้น น่าเป็นห่วงทหารไทยในแนวหน้าขวัญจะเสีย เนื่องจาก ทหารกัมพูชาใช้ยุทธวิธีการจัดชุด ลอบเข้ามาโจมตีโฉบฉวย ต่อทหารไทยในเวลากลางคืน ขณะที่นายทหารผู้ใหญ่ฝ่ายไทย ให้สัมภาษณ์ว่าทหารไทยจะทำการตอบโต้ตามความเหมาะสมนั้น แสดงว่าทหารไทยจะใช้ยุทธวิธีตั้งรับตามแนว อยู่กับที่ก็เหมือนกับเป็นเป้า คอยเวลาให้ทหารกัมพูชาโจมตีก่อนเพียงอย่างเดียว ยุทธวิธีแบบนี้ ฝรั่งเศสเคยพ่ายแพ้ต่อเวียตกงมาแล้วที่เดียนเบียนฟู
ตราบใดที่รัฐบาลไทย ยังให้นายกษิต ภิรมย์ ซึ่งเคยด่านายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างรุนแรง เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ย่อมไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
สรุปเขมรฟ้องเรื่องปราสาทพระวิหาร ศาลโลกก็ตัดสินเฉพาะปราสาทพระวิหาร โดยพิจารณาว่าเส้นเขตเเดนของ 2 ประเทศเป็นไปตามเเผนที่ 1:200,000 ซึ่งศาลโลกไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตเเดน เเต่ก็เป็นข้ออ้างของกัมพูชาว่า เส้นเขตเเดนต้องเป็นไปตามเเผนที่ 1:200,000 เพราะผ่านการพิจารณาของศาลโลกมาเเล้ว ดังนั้นจึงคิดที่จะนำเรื่องเส้นเขตเเดนยื่นฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง หากเป็นจริงเชื่อว่าสุดท้ายจะไม่มีใครยอมรับคำตัดสินของศาลโลกอย่างเเน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น