หลุมดำที่บ้านหนองจาน ตาสว่างเพราะ 7 คนไทย
โดยคนไทยกู้แผ่นดินเมื่อ 12 มีนาคม 2011 เวลา 0:32 น.
โดย Kittinun Nakthong Showcase ณ วันที่ 7 มกราคม 2011 เวลา 16:15 น.
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านพ้นไป คนไทยส่วนใหญ่ต่างดีใจที่จะได้เฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุข บ้างก็ออกเดินทางกลับบ้าน กลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด เพื่อพบหน้าพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บ้างก็ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด ไขว่คว้าหาความสำราญ แล้วในที่สุดวันสิ้นปีเราก็นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน
แต่อีกด้านหนึ่ง ยังมีคนไทยอีก 7 คน อาทิ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต ๖ พรรคประชาธิปัตย์, นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น, เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม และทีมงานของสถานีโทรทัศน์ FMTV ของสันติอโศก กลับไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว และไม่ได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข
คนไทยทั้ง 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุม หลังไปพิสูจน์การรุกล้ำอธิปไตยไทยโดยกัมพูชา โดยจอดรถถนนศรีเพ็ญ บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ก่อนจะเดินเข้าไปในที่นาเพื่อไปหาหลักเขตที่ 46 ซึ่งชาวบ้านที่นั่นร้องเรียนมาว่าเคยเป็นเจ้าของที่ดิน เคยได้รับเอกสารสิทธิ์ น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยกรมที่ดินในบริเวณนั้น ชาวบ้านเสียภาษีทุกปี แต่ถูกทหารกัมพูชานำกำลังเข้ามายึดพื้นที่
ผมคงไม่อยากจะกล่าวถึงกรณี 7 คนไทย เพราะเชื่อว่าการเดินทางย่อมมีวันสิ้นสุด คดีย่อมมีวันตัดสิน ซึ่งอันที่จริงผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมในกัมพูชาเท่าไหร่นัก เพราะมันทะแม่งตั้งแต่คดีนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านในกัมพูชา ที่มองว่ารัฐบาล สมเด็จฯ ฮุน เซน พยายามใช้กระบวนการทางศาล เพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ทำให้เขาต้องถูกเนรเทศถึง 3 ครั้ง
ไปถึงกรณี นายศิวรักษ์ ชุติพงศ์ วิศวกรไทยในกัมพูชา ถูกจับกุมในข้อหาจารกรรมข้อมูล ก็มองว่าเป็นการเล่นปาหี่ระหว่าง สมเด็จฯ ฮุน เซน กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและทุจริตคอรัปชั่น เพียงเพราะคุณศิวรักษ์ทำสำเนาข้อมูลเที่ยวบินที่คุณทักษิณจะเดินทางมายังกัมพูชา หลังได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาล
อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกสมเพชกับกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน เพราะกรณีคุณวีระเดินอยู่บนดินแดนไทยที่พิพาทกันอยู่ แล้วถูกทหารเขมรจับเข้าคุก ก็ถูกตั้งข้อหา “จารกรรมข้อมูล” เพิ่ม ซึ่งถือว่าเป็นข้อหาที่หนักหน่วง แต่ในทางตรงกันข้าม ผมสงสัยถึงผู้ต้องหาก่อการร้ายเสื้อแดงอย่าง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายสุพร อัตถาวงศ์, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายอดิศร เพียงเกษ และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
ศาลอาญาประเทศไทยออกหมายจับไปแล้ว เคยมีข่าวมาว่าอาศัยอยู่ในจังหวัดเสียมราฐของกัมพูชาเป็นที่ฝึกอาวุธนักรบเสื้อแดง แล้วทำไมทางการกัมพูชาไม่ดำเนินการอะไรเลย?
ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้สึกอิดหนาระอาใจกับบรรดาแม่ยก ไม่ว่าจะหน้าหล่อหรือหน้าเหลี่ยมทั้งนั้น รวมทั้งสื่อมวลชนฟรีทีวีบางจำพวก ที่ขาดโอเมก้า 3 หล่อเลี้ยงสมอง เพียงแค่ดูคลิปวีดีโอที่มีคนนำมาปล่อยความยาวเพียงไม่กี่นาที แล้วสรุปเข้าข้างตัวเองว่า 7 คนไทยอยากหาเรื่องให้เขมรถูกจับ ผมไม่อยากจะเถียงกับคนพวกนี้เพราะเสียเวลา พวกเขาไม่ต้องการคำตอบที่แท้จริงนอกจากความสะใจที่เอาชนะคนที่เห็นต่างทางการเมือง
แต่ถึงกระนั้น เคยมีประโยคที่ว่า “ความจริงที่รัฐบาลไม่อยากฟัง คำถามที่รัฐบาลไม่กล้าตอบ แต่ประชาชนมีสิทธิ์จะรับรู้” เชื่อว่าต่อให้ความจริงถูกบิดเบือนเพื่อเข้าข้างตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แต่หลักฐานและความจริงเชิงประจักษ์ไม่เคยโกหกใคร
อันที่จริงบ้านหนองจานที่ 7 คนไทยถูกจับกุมตัว ใกล้กับหลักเขตแดนที่ 46 แท้ที่จริงแล้วเป็นดินแดนของไทย ชาวบ้านที่นั่นออกมายืนยันว่า เมื่อก่อนอาศัยอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่เกิด ที่ดินส่วนใหญ่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย มีเอกสารสิทธิ์ยืนยันทุกคน แต่เมื่อเกิดสงครามภายในของกัมพูชา ทางการไทยได้ให้ชาวบ้านถอยออกจากพื้นที่ เนื่องจากเห็นว่าจะเกิดอันตราย
หลังจากนั้นก็ได้มีชาวเขมรเข้ามาในพื้นที่ ทางการไทยกลับไม่ได้มีการผลักดันให้ชาวเขมรออกไป เวลาล่วงเลยมาหลายปี
ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากเว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ (www.15thmove.net) ก็ระบุด้วยว่า ที่ดินบริเวณนั้นเรียกว่า “ชมรมบ้านหนองจาน” เกิดขึ้นในระหว่างเหตุการณ์สังหารหมู่ The Killing Field กลางกรุงพนมเปญในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ (ที่น่าตลกก็คือ สมเด็จฯ ฮุน เซน ก็เคยมีบทบาทในเขมรแดงอีกต่างหาก) ตอนนั้นก็มีคนเขมรอพยพหนีภัยเป็นจำนวนมาก
ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ร้องขอเพื่อขอใช้พื้นที่ในประเทศไทยประมาณ 2,000 ไร่ ก่อนแนวหลักเขตที่ 46-47 สำหรับเป็นค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งไทยได้ทำรั้วกันพื้นที่ห้ามเข้า-ออกเพื่อความชัดเจน นอกจากนี้ท้ายหมู่บ้านหนองจาน สหประชาชาติยังขุดสระน้ำขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้อพยพชาวกัมพูชาใช้อาบใช้กิน ซึ่งหลักการจัดหาพื้นที่สำหรับใช้เป็นค่ายผู้อพยพ จะไม่ใช้พื้นที่ของประเทศที่มีสงครามหรือเป็นคู่สงคราม แต่ต้องใช้พื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศที่สาม เพื่อให้พ้นอำนาจทางปกครองและทางทหารของกัมพูชา
ย่อมหมายความว่า พื้นที่หมู่บ้านหนองจาน จากถนนถึงสระน้ำท้ายหมู่บ้านจึงตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย ในฐานะ “ประเทศที่สาม” ที่ UNHCR เลือก เป็นของไทยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
คนในรัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงมักจะอ้างกับสื่อมวลชนให้เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง บางคนพูดว่า 7 คนไทยล่วงล้ำดินแดนกัมพูชาเป็นกิโลเมตร บางคนบอก 400-500 เมตร กระทั่งมีการปล่อยคลิปวีดีโอออกมา รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชื่อ นายกษิต ภิรมย์ ออกโทรทัศน์ช่อง 11 ก็อ้างว่าล่วงล้ำดินแดน 55 เมตร แต่ที่น่าตลกก็คือ ช่วงที่ให้ข้อมูลใน ครม. ว่าถ้านับแนวที่ไทยยึดถือตามหลักสันปันน้ำ คนไทยล้ำเข้าไป 8 เมตร
สันปันน้ำบ้านบิดาคุณกษิตนะสิ อยู่ในที่ราบท้องไร่ท้องนา...
ความหมายของคำว่า “สันปันน้ำ” ให้เด็กประถมสัก ป.3-ป.4 ดูด้วยตาเปล่าก็ดูออกว่า สันเขาไหนที่ต่อเนื่องกัน ถ้าพื้นแผ่นดินไหนที่สูงกว่าก็แสดงว่าเป็นแผ่นดินประเทศนั้น แต่ถ้าพื้นแผ่นดินไหนอยู่ต่ำกว่าก็เป็นอีกประเทศหนึ่งโน่น สมเพชเวทนากับความตระบัดสัตย์ที่ไปพูดกลางที่ประชุม ครม. ว่า 7 คนไทยอ่อนหัด ไม่รู้เรื่องการทูตระหว่างประเทศ แล้วใครที่เคยด่าประเทศเพื่อนบ้านว่า “กุ๊ย” แล้วพอมาเป็นรัฐมนตรีก็ไปจูบปากกับเขา
แล้วอันที่จริง ชายแดนไทย-กัมพูชา ความยาว 798 กิโลเมตร ส่วนหนึ่งประมาณ 603 กม. มีหลักเขตแดนตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด เป็นเส้นแบ่งเขตแดนทั้งหมด 73 หลัก แล้วเสร็จตั้งแต่เมื่อปี 2450 (ค.ศ. 1907) หรือเมื่อ 104 ปีก่อนแล้ว
นายกษิตได้หยิบแผนที่มาแสดงที่ช่อง 11 ปรากฏว่าระหว่างหลักเขตที่ 46 กับ 47 ทำไมเส้นที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพรมแดนถึงคร่อมหมู่บ้าน แทนที่จะโอบทั้งหมู่บ้านเข้ามาอยู่ในเขตไทย เพราะหมู่บ้านดังกล่าวเป็นที่ตั้งเดิมของค่ายผู้อพยพที่ตั้งอยู่ในแผ่นดินไทย สงสัยว่า “ใครย้ายหลักเขตแดน?”
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นำมาซึ่งปัญหาใหญ่ 2 กรณี ทั้งการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่มีการรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ล่าสุดกับกรณี 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัว ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชาแล้วโดยพฤตินัย แต่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ เราจะต้องเสียดินแดนตลอดแนวชายแดน 798 กิโลเมตร 1.8 ล้านไร่ โดยเริ่มมาจากสิ่งที่เรียกว่า “No Man’s Land”
แนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มีสภาพที่เรียกว่า No Man’s Land ซึ่งหมายถึง พรมแดนระหว่างสองประเทศ หรือสองกองทัพที่ยังไม่มีผู้ครอบครองตัวจริง เพราะปัญหาต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์เขตแดน ทำให้ยังคงสภาพความไม่แน่นอนของเขตแดนให้อึมครึม และถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ความมั่นคง ปัจจุบันสภาพเช่นนี้นอกจากเกิดขึ้นที่กัมพูชาแล้ว ยังมีพม่า มาเลเซีย และเคยเกิดขึ้นกับลาวบริเวณเกาะแก่งแม่น้ำโขงอีกด้วย
พื้นที่ No Man’s Land นี่แหละที่ถือว่าเป็นหลุมดำ เพราะเมื่อถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ความมั่นคง ดูแลโดยทหารและตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ก็เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้า นักการเมือง นายทหารและนายตำรวจบางกลุ่ม ทำมาหากินกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งสินค้าหนีภาษี ค้ามนุษย์ สิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงการลักลอบตัดไม้พะยูง และลักลอบขนรถยนต์ที่ขโมยจากคนไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่บ้านหนองจาน หลักเขตแดนที่ 46 ก็มีฝ่ายปกครองไม่พอใจ เพราะเสียผลประโยชน์จากกิจการตลาดมืดที่ค้าขายในบริเวณชายแดน มีการข่มขู่ว่าจะทำร้ายชาวบ้านที่ออกมาให้ข้อมูลกับทางพันธมิตรฯ ไม่นับรวมชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งด้วยป้ายผ้าอิ้งค์เจ็ทใหม่เอี่ยมนับสิบผืน และขบวนรถอีแต๋นหลายสิบคัน เข้ามาห้ามผู้ชุมนุมกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเข้าพื้นที่ โดยอ้างว่ากลัวค้าขายไม่ได้
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟระบุว่า บ้านหนองจานเป็นเขตทำมาหากินของนายทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ตะวันออก เป็นทางผ่านในการขนสินค้าหลบเลี่ยงภาษีจากกัมพูชาเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นสินค้าของแท้จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเหตุที่ใช้เส้นทางบ้านหนองจานมายังบ้านโนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เพราะที่ปอยเปต ซึ่งเป็นตำบลในจังหวัดบ้านใต้มีชัย หรือบันเตียเมียนเจ็ยของกัมพูชา ฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีผู้มีอิทธิพลอีกราย คุมพื้นที่เก็บค่าผ่านทางสินค้าหนีภาษี ในรายงานอีกด้านหนึ่งก็มีบริษัทร้านค้าปลอดภาษีรายใหญ่ในไทย และมีนายทหารบางคนซึ่งในอดีตรับผิดชอบพื้นที่บริเวณนั้นโดยตรงมีส่วนเกี่ยวข้อง
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างปี 2521-2522 นายทหารในแถบภาคตะวันออกร่ำรวยกับการค้าทองจากผู้หนีภัยสงครามกัมพูชา ที่นำทองมาขายที่ จ.สระแก้ว เพื่อกิน เพื่อใช้ และขอความคุ้มครอง ขณะเดียวกัน พื้นที่บ้านโนนหมากมุ่น และบ้านหนองจาน เป็นเขตความมั่นคงมาโดยตลอด มีทหารและ ตชด.ดูแล ไม่มีหน่วยงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อฝั่งไทยมีอิทธิพลและติดต่อกับทหารกัมพูชารู้เรื่อง เลยเอื้อให้กระทำทำผิดกฎหมายได้โดยสะดวก
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีรายงานออกมาว่า ในช่วงที่ชาวบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ไล่ตีผู้ชุมนุมที่เดินทางไปยังเขาพระวิหารจนเลือดอาบ นอกจากนักการเมืองทั้งพรรคเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงินหนุนหลังแล้ว ยังมีขบวนการพ่อค้านายทุน ที่ร่วมกับทหารกัมพูชาลักลอบตัดไม้พะยูงในเทือกเขาพนมดงรัก และค้าไม้พะยูงเถื่อน รวมทั้งพวกค้าของเถื่อนและยาเสพติด เข้ามาสนับสนุนม็อบจัดตั้งจากชาวบ้านมาไล่ตีอีก
รวมทั้งกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวน 11 นักรบเสื้อแดงที่ไปฝึกอาวุธร่วมกับนายอริสมันต์ที่ จ.เสียมราฐ ของกัมพูชา ใช้วิธีเดินทางแบบผิดกฎหมายจากด่านช่องจอม-โอร์สเม็ด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ติดกับ จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา ก็พบว่ามีทางเดินลัดเลาะแนวป่าไปโผล่ที่กาสิโนโอร์สเม็ดรีสอร์ท ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเพียง 100 เมตร กลายเป็นช่องทางลักลอบนำบุหรี่ สินค้าเถื่อนและสิ่งของผิดกฎหมายอื่นๆ ข้ามเข้ามาในไทย โดยที่หน่วยงานด้านความมั่นคงทำอะไรไม่ได้ เพราะอาสาสมัครรักษาดินแดนถูกข่มขู่เอาชีวิต
ตัวอย่างที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาตามแนวชายแดนแบบขยะที่ซุกใต้พรม โดยที่นายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานด้านความมั่นคงมองข้าม เพราะอาจกลายเป็นการขัดขวางผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลในระดับนโยบาย
ก็ถือเป็นคุณูปการของ 7 คนไทยที่ทางการกัมพูชา กักขังอิสรภาพบนดินแดนที่เป็นของไทย ที่คนไทยใจเป็นธรรมได้โปรดรับฟัง
เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ใครบางคนกำลังทำตัวเหมือนกับคนในเนื้อเพลง “หนักแผ่นดิน”.
(บทความนี้จะตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์โคราชคนอีสาน ฉบับวันที่ 11 มกราคม 2554)
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านพ้นไป คนไทยส่วนใหญ่ต่างดีใจที่จะได้เฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุข บ้างก็ออกเดินทางกลับบ้าน กลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด เพื่อพบหน้าพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บ้างก็ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด ไขว่คว้าหาความสำราญ แล้วในที่สุดวันสิ้นปีเราก็นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน
แต่อีกด้านหนึ่ง ยังมีคนไทยอีก 7 คน อาทิ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต ๖ พรรคประชาธิปัตย์, นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น, เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม และทีมงานของสถานีโทรทัศน์ FMTV ของสันติอโศก กลับไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว และไม่ได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข
คนไทยทั้ง 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุม หลังไปพิสูจน์การรุกล้ำอธิปไตยไทยโดยกัมพูชา โดยจอดรถถนนศรีเพ็ญ บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ก่อนจะเดินเข้าไปในที่นาเพื่อไปหาหลักเขตที่ 46 ซึ่งชาวบ้านที่นั่นร้องเรียนมาว่าเคยเป็นเจ้าของที่ดิน เคยได้รับเอกสารสิทธิ์ น.ส.๓ ก. ที่ออกโดยกรมที่ดินในบริเวณนั้น ชาวบ้านเสียภาษีทุกปี แต่ถูกทหารกัมพูชานำกำลังเข้ามายึดพื้นที่
ผมคงไม่อยากจะกล่าวถึงกรณี 7 คนไทย เพราะเชื่อว่าการเดินทางย่อมมีวันสิ้นสุด คดีย่อมมีวันตัดสิน ซึ่งอันที่จริงผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมในกัมพูชาเท่าไหร่นัก เพราะมันทะแม่งตั้งแต่คดีนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านในกัมพูชา ที่มองว่ารัฐบาล สมเด็จฯ ฮุน เซน พยายามใช้กระบวนการทางศาล เพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ทำให้เขาต้องถูกเนรเทศถึง 3 ครั้ง
ไปถึงกรณี นายศิวรักษ์ ชุติพงศ์ วิศวกรไทยในกัมพูชา ถูกจับกุมในข้อหาจารกรรมข้อมูล ก็มองว่าเป็นการเล่นปาหี่ระหว่าง สมเด็จฯ ฮุน เซน กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและทุจริตคอรัปชั่น เพียงเพราะคุณศิวรักษ์ทำสำเนาข้อมูลเที่ยวบินที่คุณทักษิณจะเดินทางมายังกัมพูชา หลังได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาล
อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกสมเพชกับกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน เพราะกรณีคุณวีระเดินอยู่บนดินแดนไทยที่พิพาทกันอยู่ แล้วถูกทหารเขมรจับเข้าคุก ก็ถูกตั้งข้อหา “จารกรรมข้อมูล” เพิ่ม ซึ่งถือว่าเป็นข้อหาที่หนักหน่วง แต่ในทางตรงกันข้าม ผมสงสัยถึงผู้ต้องหาก่อการร้ายเสื้อแดงอย่าง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายสุพร อัตถาวงศ์, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายอดิศร เพียงเกษ และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
ศาลอาญาประเทศไทยออกหมายจับไปแล้ว เคยมีข่าวมาว่าอาศัยอยู่ในจังหวัดเสียมราฐของกัมพูชาเป็นที่ฝึกอาวุธนักรบเสื้อแดง แล้วทำไมทางการกัมพูชาไม่ดำเนินการอะไรเลย?
ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้สึกอิดหนาระอาใจกับบรรดาแม่ยก ไม่ว่าจะหน้าหล่อหรือหน้าเหลี่ยมทั้งนั้น รวมทั้งสื่อมวลชนฟรีทีวีบางจำพวก ที่ขาดโอเมก้า 3 หล่อเลี้ยงสมอง เพียงแค่ดูคลิปวีดีโอที่มีคนนำมาปล่อยความยาวเพียงไม่กี่นาที แล้วสรุปเข้าข้างตัวเองว่า 7 คนไทยอยากหาเรื่องให้เขมรถูกจับ ผมไม่อยากจะเถียงกับคนพวกนี้เพราะเสียเวลา พวกเขาไม่ต้องการคำตอบที่แท้จริงนอกจากความสะใจที่เอาชนะคนที่เห็นต่างทางการเมือง
แต่ถึงกระนั้น เคยมีประโยคที่ว่า “ความจริงที่รัฐบาลไม่อยากฟัง คำถามที่รัฐบาลไม่กล้าตอบ แต่ประชาชนมีสิทธิ์จะรับรู้” เชื่อว่าต่อให้ความจริงถูกบิดเบือนเพื่อเข้าข้างตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แต่หลักฐานและความจริงเชิงประจักษ์ไม่เคยโกหกใคร
อันที่จริงบ้านหนองจานที่ 7 คนไทยถูกจับกุมตัว ใกล้กับหลักเขตแดนที่ 46 แท้ที่จริงแล้วเป็นดินแดนของไทย ชาวบ้านที่นั่นออกมายืนยันว่า เมื่อก่อนอาศัยอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่เกิด ที่ดินส่วนใหญ่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย มีเอกสารสิทธิ์ยืนยันทุกคน แต่เมื่อเกิดสงครามภายในของกัมพูชา ทางการไทยได้ให้ชาวบ้านถอยออกจากพื้นที่ เนื่องจากเห็นว่าจะเกิดอันตราย
หลังจากนั้นก็ได้มีชาวเขมรเข้ามาในพื้นที่ ทางการไทยกลับไม่ได้มีการผลักดันให้ชาวเขมรออกไป เวลาล่วงเลยมาหลายปี
ขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากเว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ (www.15thmove.net) ก็ระบุด้วยว่า ที่ดินบริเวณนั้นเรียกว่า “ชมรมบ้านหนองจาน” เกิดขึ้นในระหว่างเหตุการณ์สังหารหมู่ The Killing Field กลางกรุงพนมเปญในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ (ที่น่าตลกก็คือ สมเด็จฯ ฮุน เซน ก็เคยมีบทบาทในเขมรแดงอีกต่างหาก) ตอนนั้นก็มีคนเขมรอพยพหนีภัยเป็นจำนวนมาก
ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ร้องขอเพื่อขอใช้พื้นที่ในประเทศไทยประมาณ 2,000 ไร่ ก่อนแนวหลักเขตที่ 46-47 สำหรับเป็นค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งไทยได้ทำรั้วกันพื้นที่ห้ามเข้า-ออกเพื่อความชัดเจน นอกจากนี้ท้ายหมู่บ้านหนองจาน สหประชาชาติยังขุดสระน้ำขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้อพยพชาวกัมพูชาใช้อาบใช้กิน ซึ่งหลักการจัดหาพื้นที่สำหรับใช้เป็นค่ายผู้อพยพ จะไม่ใช้พื้นที่ของประเทศที่มีสงครามหรือเป็นคู่สงคราม แต่ต้องใช้พื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศที่สาม เพื่อให้พ้นอำนาจทางปกครองและทางทหารของกัมพูชา
ย่อมหมายความว่า พื้นที่หมู่บ้านหนองจาน จากถนนถึงสระน้ำท้ายหมู่บ้านจึงตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย ในฐานะ “ประเทศที่สาม” ที่ UNHCR เลือก เป็นของไทยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
คนในรัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงมักจะอ้างกับสื่อมวลชนให้เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง บางคนพูดว่า 7 คนไทยล่วงล้ำดินแดนกัมพูชาเป็นกิโลเมตร บางคนบอก 400-500 เมตร กระทั่งมีการปล่อยคลิปวีดีโอออกมา รัฐมนตรีต่างประเทศที่ชื่อ นายกษิต ภิรมย์ ออกโทรทัศน์ช่อง 11 ก็อ้างว่าล่วงล้ำดินแดน 55 เมตร แต่ที่น่าตลกก็คือ ช่วงที่ให้ข้อมูลใน ครม. ว่าถ้านับแนวที่ไทยยึดถือตามหลักสันปันน้ำ คนไทยล้ำเข้าไป 8 เมตร
สันปันน้ำบ้านบิดาคุณกษิตนะสิ อยู่ในที่ราบท้องไร่ท้องนา...
ความหมายของคำว่า “สันปันน้ำ” ให้เด็กประถมสัก ป.3-ป.4 ดูด้วยตาเปล่าก็ดูออกว่า สันเขาไหนที่ต่อเนื่องกัน ถ้าพื้นแผ่นดินไหนที่สูงกว่าก็แสดงว่าเป็นแผ่นดินประเทศนั้น แต่ถ้าพื้นแผ่นดินไหนอยู่ต่ำกว่าก็เป็นอีกประเทศหนึ่งโน่น สมเพชเวทนากับความตระบัดสัตย์ที่ไปพูดกลางที่ประชุม ครม. ว่า 7 คนไทยอ่อนหัด ไม่รู้เรื่องการทูตระหว่างประเทศ แล้วใครที่เคยด่าประเทศเพื่อนบ้านว่า “กุ๊ย” แล้วพอมาเป็นรัฐมนตรีก็ไปจูบปากกับเขา
แล้วอันที่จริง ชายแดนไทย-กัมพูชา ความยาว 798 กิโลเมตร ส่วนหนึ่งประมาณ 603 กม. มีหลักเขตแดนตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด เป็นเส้นแบ่งเขตแดนทั้งหมด 73 หลัก แล้วเสร็จตั้งแต่เมื่อปี 2450 (ค.ศ. 1907) หรือเมื่อ 104 ปีก่อนแล้ว
นายกษิตได้หยิบแผนที่มาแสดงที่ช่อง 11 ปรากฏว่าระหว่างหลักเขตที่ 46 กับ 47 ทำไมเส้นที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพรมแดนถึงคร่อมหมู่บ้าน แทนที่จะโอบทั้งหมู่บ้านเข้ามาอยู่ในเขตไทย เพราะหมู่บ้านดังกล่าวเป็นที่ตั้งเดิมของค่ายผู้อพยพที่ตั้งอยู่ในแผ่นดินไทย สงสัยว่า “ใครย้ายหลักเขตแดน?”
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นำมาซึ่งปัญหาใหญ่ 2 กรณี ทั้งการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่มีการรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ล่าสุดกับกรณี 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัว ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชาแล้วโดยพฤตินัย แต่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ เราจะต้องเสียดินแดนตลอดแนวชายแดน 798 กิโลเมตร 1.8 ล้านไร่ โดยเริ่มมาจากสิ่งที่เรียกว่า “No Man’s Land”
แนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มีสภาพที่เรียกว่า No Man’s Land ซึ่งหมายถึง พรมแดนระหว่างสองประเทศ หรือสองกองทัพที่ยังไม่มีผู้ครอบครองตัวจริง เพราะปัญหาต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์เขตแดน ทำให้ยังคงสภาพความไม่แน่นอนของเขตแดนให้อึมครึม และถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ความมั่นคง ปัจจุบันสภาพเช่นนี้นอกจากเกิดขึ้นที่กัมพูชาแล้ว ยังมีพม่า มาเลเซีย และเคยเกิดขึ้นกับลาวบริเวณเกาะแก่งแม่น้ำโขงอีกด้วย
พื้นที่ No Man’s Land นี่แหละที่ถือว่าเป็นหลุมดำ เพราะเมื่อถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ความมั่นคง ดูแลโดยทหารและตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ก็เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้า นักการเมือง นายทหารและนายตำรวจบางกลุ่ม ทำมาหากินกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งสินค้าหนีภาษี ค้ามนุษย์ สิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงการลักลอบตัดไม้พะยูง และลักลอบขนรถยนต์ที่ขโมยจากคนไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่บ้านหนองจาน หลักเขตแดนที่ 46 ก็มีฝ่ายปกครองไม่พอใจ เพราะเสียผลประโยชน์จากกิจการตลาดมืดที่ค้าขายในบริเวณชายแดน มีการข่มขู่ว่าจะทำร้ายชาวบ้านที่ออกมาให้ข้อมูลกับทางพันธมิตรฯ ไม่นับรวมชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งด้วยป้ายผ้าอิ้งค์เจ็ทใหม่เอี่ยมนับสิบผืน และขบวนรถอีแต๋นหลายสิบคัน เข้ามาห้ามผู้ชุมนุมกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเข้าพื้นที่ โดยอ้างว่ากลัวค้าขายไม่ได้
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟระบุว่า บ้านหนองจานเป็นเขตทำมาหากินของนายทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ตะวันออก เป็นทางผ่านในการขนสินค้าหลบเลี่ยงภาษีจากกัมพูชาเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเป็นสินค้าของแท้จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเหตุที่ใช้เส้นทางบ้านหนองจานมายังบ้านโนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เพราะที่ปอยเปต ซึ่งเป็นตำบลในจังหวัดบ้านใต้มีชัย หรือบันเตียเมียนเจ็ยของกัมพูชา ฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีผู้มีอิทธิพลอีกราย คุมพื้นที่เก็บค่าผ่านทางสินค้าหนีภาษี ในรายงานอีกด้านหนึ่งก็มีบริษัทร้านค้าปลอดภาษีรายใหญ่ในไทย และมีนายทหารบางคนซึ่งในอดีตรับผิดชอบพื้นที่บริเวณนั้นโดยตรงมีส่วนเกี่ยวข้อง
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างปี 2521-2522 นายทหารในแถบภาคตะวันออกร่ำรวยกับการค้าทองจากผู้หนีภัยสงครามกัมพูชา ที่นำทองมาขายที่ จ.สระแก้ว เพื่อกิน เพื่อใช้ และขอความคุ้มครอง ขณะเดียวกัน พื้นที่บ้านโนนหมากมุ่น และบ้านหนองจาน เป็นเขตความมั่นคงมาโดยตลอด มีทหารและ ตชด.ดูแล ไม่มีหน่วยงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อฝั่งไทยมีอิทธิพลและติดต่อกับทหารกัมพูชารู้เรื่อง เลยเอื้อให้กระทำทำผิดกฎหมายได้โดยสะดวก
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีรายงานออกมาว่า ในช่วงที่ชาวบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ไล่ตีผู้ชุมนุมที่เดินทางไปยังเขาพระวิหารจนเลือดอาบ นอกจากนักการเมืองทั้งพรรคเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงินหนุนหลังแล้ว ยังมีขบวนการพ่อค้านายทุน ที่ร่วมกับทหารกัมพูชาลักลอบตัดไม้พะยูงในเทือกเขาพนมดงรัก และค้าไม้พะยูงเถื่อน รวมทั้งพวกค้าของเถื่อนและยาเสพติด เข้ามาสนับสนุนม็อบจัดตั้งจากชาวบ้านมาไล่ตีอีก
รวมทั้งกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวน 11 นักรบเสื้อแดงที่ไปฝึกอาวุธร่วมกับนายอริสมันต์ที่ จ.เสียมราฐ ของกัมพูชา ใช้วิธีเดินทางแบบผิดกฎหมายจากด่านช่องจอม-โอร์สเม็ด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ติดกับ จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา ก็พบว่ามีทางเดินลัดเลาะแนวป่าไปโผล่ที่กาสิโนโอร์สเม็ดรีสอร์ท ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเพียง 100 เมตร กลายเป็นช่องทางลักลอบนำบุหรี่ สินค้าเถื่อนและสิ่งของผิดกฎหมายอื่นๆ ข้ามเข้ามาในไทย โดยที่หน่วยงานด้านความมั่นคงทำอะไรไม่ได้ เพราะอาสาสมัครรักษาดินแดนถูกข่มขู่เอาชีวิต
ตัวอย่างที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาตามแนวชายแดนแบบขยะที่ซุกใต้พรม โดยที่นายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานด้านความมั่นคงมองข้าม เพราะอาจกลายเป็นการขัดขวางผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลในระดับนโยบาย
ก็ถือเป็นคุณูปการของ 7 คนไทยที่ทางการกัมพูชา กักขังอิสรภาพบนดินแดนที่เป็นของไทย ที่คนไทยใจเป็นธรรมได้โปรดรับฟัง
เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ใครบางคนกำลังทำตัวเหมือนกับคนในเนื้อเพลง “หนักแผ่นดิน”.
(บทความนี้จะตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์โคราชคนอีสาน ฉบับวันที่ 11 มกราคม 2554)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น