บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใครจะเดือดร้อน หาก วีระ - ราตรี พ้นคุก /// ดอกไม้เหล็ก

ใครจะเดือดร้อน หาก วีระ - ราตรี พ้นคุก /// ดอกไม้เหล็ก

โดยคนไทยกู้แผ่นดินเมื่อ 13 มีนาคม 2011 เวลา 3:19 น.
  
<span>
นับเป็นความเจ็บปวดของคนไทยทั้งประเทศที่ต้องทนเห็น ‘วีระ สมความคิด’ และ ‘น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์’ 2 คนไทยที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องแผ่นดินแม่ ต้องถูกกัมพูชากระทำย่ำยี โดยมี ‘นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ เป็นผู้หยิบยื่น `เหยื่อ’ ชิ้นโอชะอย่างนายวีระไปให้ ‘สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน’ นายกฯ กัมพูชา บดขยี้ตามใจชอบ
     
       นายอภิสิทธิ์คงคิดว่าคนไทยความจำเสื่อมหรือขุดรูอยู่หลังเขา จึงไม่รู้ว่าผู้ที่ชวนวีระลงไปดูพื้นที่จนถูกทหารเขมรบุกเข้ามาจับตัวแล้วลากเข้าไปในฝั่งกัมพูชานั้นหาใช่ใครอื่น หากแต่คือ ‘พนิช วิกิตเศรษฐ์’ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทของนายกฯอภิสิทธิ์ และที่สำคัญภาพหลักฐานที่เผยแพร่ผ่านยูทูปนั้นก็ยืนยันชัดเจนว่านายพนิชดำเนินการตามคำสั่งของนายกฯอภิสิทธิ์ ภาพและบทสนทนาขณะที่นายพนิชโทรศัพท์รายงานความคืบหน้าในการลงสำรวจพื้นที่ อ.โนนหมากมุ่น จ.สระแก้ว ซึ่งติดกับชายแดนเขมร ให้นายกฯรับทราบ คงเป็นหลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้
     
       กรณีนี้นายอภิสิทธิ์จึงมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่น่าแปลกใจว่าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีดีกรีออกซ์ฟอร์ดดูเหมือนจะไม่ใส่ใจที่จะช่วยเหลือนำตัวคนไทยที่ถูกเขมรลักพาตัวกลับสู่มาตุภูมิ แต่กลับผลักไสให้ไปอยู่ใต้เบื้องบาทของสมเด็จฮุน เซน ปล่อยให้เขมรเล่นเกมบีบให้รับสารภาพว่ารุกล้ำดินแดน และจะพ้นผิดได้ก็ด้วยการ 'ขอพระราชทานอภัยโทษ' จากกัมพูชาเท่านั้น ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ก็รู้ดีว่าหากนายวีระและ น.ส.ราตรี ขออภัยโทษเพื่อแลกกับอิสรภาพเช่นเดียวกับนายพนิชและอีก 4 คนไทยที่เขมรยอมปล่อยตัวกลับมาก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับเรายอมรับว่าโนนหมากมุ่น จ.สระแก้ว เป็น 'แผ่นดินกัมพูชา' ซึ่งเสี่ยงต่อการ 'เสียดินแดนไทย' ในอนาคต !!
     
       ด้วยเหตุดังกล่าวสังคมจึงตั้งคำถามต่อความไม่สนใจใยดีในการช่วยเหลือนายวีระของนายอภิสิทธิ์ว่า น่าจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น และจริงๆ แล้ว นายอภิสิทธิ์ต้องการช่วยนายวีระและน.ส.ราตรีจึงหรือไม่
     
       เพียงแต่เหตุที่เกมเปลี่ยนไปจนนายอภิสิทธิ์มิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้ ก็เนื่องเพราะทั้งนายพนิช นางวิไลวรรณ สมความคิด แม่นายวีระและนายปรีชา สมความคิด น้องชายนายวีระ พร้อมใจกันออกมาเปิดเผยอาการป่วยถึงขั้น “ปางตาย” ของนายวีระ ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องเผชิญกับไฟต์บังคับในการช่วยนายวีระ
     
       แต่การช่วยนายวีระและนางราตรีโดยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ดูจะมีลับลมคมในชวนให้พิศวงไม่น้อย เพราะแม้ว่าล่าสุดจะมีนักกฎหมายอย่าง 'นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล' เลขานุการแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ได้เสนอแนวทางตามกฎหมายว่ารัฐบาลไทยสามารถยก 'พระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินการตามคำพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. 2527' ซึ่งเป็นกฎหมายที่ทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชาให้การยอมรับ มาเป็นเครื่องมือในการประสานขอโอนตัวนายวีระและ น.ส. ราตรี จากรัฐบาลกัมพูชากลับมารับโทษต่อในราชอาณาจักรไทย ซึ่งอย่างน้อยน่าจะช่วยให้ น.ส.ราตรีและนายวีระซึ่งกำลังป่วยปางตายอยู่ในขณะนี้ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น แต่นายกฯอภิสิทธิ์กลับออกมาปฏิเสธแนวทางดังกล่าวแบบทันควัน โดยระบุว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ และการจะนำตัวสองคนไทยกลับบ้านได้นั้นก็ต้องเป็นการ 'ขอพระราชทานอภัยโทษ' เพียงวิธีเดียว
     
       ทั้งที่การขอโอนตัวนักโทษตามบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ย่อมเป็นสิ่งที่กัมพูชามิอาจปฏิเสธ เนื่องจากในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 5 สิงหาคม 2552 โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศของกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา นั้นรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้มีลงนามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) ไว้แล้ว และข้อตกลงนี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่ 7 คนไทยจะถูกทหารกัมพูชาบุกเข้ามาจับตัวไปรับโทษในเขมร
     
       น่าแปลกใจที่แม้นายกฯอภิสิทธิ์จะรู้ดีว่าขณะนี้นายวีระซึ่งถูกจองจำอยู่ในคุกเขมรกำลังป่วยปางตายเพราะถูกหลายโรครุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัวที่เป็นมานานอย่าง หยุดหายใจขณะนอนหลับ โรครูมาตอยต์ซึ่งทำให้มีอาการปวดตามข้อ โรคภูมิแพ้ที่ส่งผลให้ผิวหนังเกิดอาการผื่นคัน รวมทั้งอาการไข้หนักก่อนหน้านี้ที่มีผลมาจากสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมผ่ายผอมเพราะกินอาหารไม่ได้เนื่องจากมีแผลในปากและรากฟันมีปัญหา แต่นายกฯก็หาได้ใส่ใจที่จะช่วยเหลือคนไทยที่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยอย่างนายวีระให้ออกมารักษาตัวนอกเรือนจำ ทั้งที่สามารถใช้ศักยภาพของรัฐบาลประสานไปยังกัมพูชาได้ หรือนี่คือ ''ความอำมหิต' อย่างหนึ่งของนายกฯอภิสิทธิ์ที่คนไทยเพิ่งได้ประจักษ์
     
       นายกฯอภิสิทธิ์คงนึกไม่ออกว่าตอนนี้ 'นางวิไล สมความคิด' มารดาของนายวีระที่มากราบกรานขอให้นายกฯช่วยเหลือลูกชายของเธอนั้น จะรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ร้อนขนาดไหนกับความอยุติธรรมที่ลูกชายของเธอได้รับ ทุกวันนี้วีระต้องทนทรมานในคุกเขมรโดยไม่รู้ชะตากรรมว่าต้องถูกคุมขังอีกนานเท่าไร ความหิวโหยและอาการป่วยที่ถาโถมของลูกชายทำให้ใจของคนเป็นแม่แทบจะขาด ท่าทีที่เพิกเฉยของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะช่วยเหลืออาจทำให้ลูกชายของเธอต้องตายในคุกเขมร หนำซ้ำลูกของเธอยังถูกขบวนการ ‘แมลงสาบ’ รุมถล่ม สร้างกระแสก่นด่าว่าสร้างความวุ่นวาย แส่หาเรื่องไปให้เขมรจับตัว และที่เจ็บปวดไปกว่านั้นคือเธอจำต้องเข้าไปกราบกรานคนที่อยู่เบื้องหลังขบวนการล่อให้ลูกชายเธอไป ‘ติดกับ’ แต่ด้วยหัวใจรักของคนเป็น ‘แม่’` เธอคงไม่มีทางเลือกมากนัก
     
       ทั้งนี้ อาจเพราะเหตุผลบางอย่างที่ทั้งฝ่ายกัมพูชาและรัฐบาลไทยต่างก็ไม่อยากให้นายวีระได้รับอิสรภาพ !!
     
       หากสังเกตทางฝ่ายสมเด็จฮุน เซน ก็จะเห็นปฏิกิริยาที่เกรี้ยวกราดราวกับอยากขย้ำนายวีระออกเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ก่อนนี้มีท่าทีชัดเจนว่านายวีระจะพ้นโทษก็ต่อเมื่อ 'ขอพระราชทานอภัยโทษ' เท่านั้น แต่เมื่อครอบครัวของนายวีระให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าจะยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ นายกรัฐมนตรีกัมพูชากลับพลิกลิ้นว่าแม้จะขอพระราชทานอภัยโทษก็ยังให้พ้นผิดทันทีไม่ได้ แต่นายวีระต้องได้รับโทษ 2 ใน 3 คือถูกจำคุก 5 ปี จากโทษจำคุกทั้ง 8 ปี เสียก่อน ซึ่งก็สะท้อนถึงเล่ห์เหลี่ยมที่โฉดชั่วของนายกฯฮุน เซน และกฎเกณฑ์ที่ว่านี้หาได้เป็นมาตรการในการดำเนินคดีกับชาวต่างชาติของกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะหากย้อนไปดูคดีของ 'นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์' วิศวกรชาวไทย ที่เคยต้องคดีจารกรรมข้อมูลในกัมพูชาเช่นเดียวกับกรณีของนายวีระ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค.2552 นั้นสมเด็จฮุน เซน ได้อภัยโทษให้ทันทีที่มีคำขอจาก 'ทักษิณ ชินวัตร' เพื่อนรักร่วมอุดมการณ์
     
       ทั้ง นี้อาจเป็นเพราะว่านายกฯ เขมรต้องการใช้ 'เหยื่อ' อย่างนายวีระเป็นเครื่องมือในการเล่นเกมการเมือง หยามศักดิ์ศรีคนไทย เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากชาวกัมพูชาว่าเขาคือผู้นำหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ชาติเขมรที่สามารถเหยียบประเทศไทยที่มีศักยภาพเหนือกว่าทุกด้านให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของกัมพูชาได้
     
       ขณะที่นายอภิสิทธ์เองก็อาจจะไม่ต้องการให้นายวีระได้รับอิสรภาพและกลับมาประเทศไทย เพราะด้วยนิสัยที่แข็งกร้าวตรงไปตรงมาของนายวีระนั้นไม่มีใครการันตีได้ว่า หลังจากกลับมาแล้วนายวีระจะไม่นำ 'ความจริง' ในเหตุการณ์บุกจับคนไทยยัดคุกเขมร โดยการรู้เห็นของเจ้าหน้าที่และนักการเมืองไทย ออกมา 'แฉ' ให้คนไทยและชาวโลกได้รับรู้ ซึ่งย่อมหมายความว่าไม่ใครก็ใครในรัฐบาลชุดนี้ต้องถูกกระชากหน้ากากมาดผู้ดี ให้เห็นถึงตัวตนเนื้อแท้และเล่ห์หลี่ยมเบื้องหลังที่แสนจะอำมหิต แต่ครั้นจะปล่อยให้นายวีระ 'ป่วยตาย' อยู่ในคุกเขมร ก็อาจจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความไม่พอใจจากคนไทยจำนวนไม่น้อย ดังนั้นนายอภิสิทธิ์จึงอยู่ระหว่างการชั่งใจถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมานับจากนี้
     
       แต่สิ่งหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์กำลังเร่งลงมือก็คือการสร้างกระแสโจมตี 'ดิสเครดิต' นายวีระ โดยมีพลพรรคทีมงาน 'แมลงสาบ' นั่งปั่นกระแส ไล่โพสต์ตามเว็บไซต์เพื่อลบภาพคนไทยที่เอาชีวิตเข้าปกป้องแผ่นดินไทยของนายวีระออกจากการรับรู้ของคนไทย พร้อมทั้งใส่ข้อมูลใหม่ว่านายวีระเป็นพวกกระหายสงครามชอบความรุนแรง และถือเป็นความชอบธรรมที่รัฐบาลไทยจะปล่อยให้นายวีระตายคาคุกเขมร ซึ่งกล่าวได้ว่ากลเกมการป้ายสีนายวีระครั้งนี้คือหนึ่งในความ'อำมหิต ของคนชื่อ 'อภิสิทธิ์' เช่นกัน
     
       นอกจากนั้นนายกฯอภิสิทธิ์ยังพยายามทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการใช้ MOU43 ของรัฐบาลซึ่งจะนำไปสู่การเสียดินแดน เรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์เร่งช่วยเหลือนายวีระและ น.ส.ราตรี ที่ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมในกัมพูชา รวมทั้งแฉขบวนการ 'ขายชาติ' เฉือนแผ่นดินไทยให้เขมร เพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาลของตนเองและพวกพ้อง
     
       ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามใช้มาตรการต่างๆเพื่อข่มขู่กดดันให้พันธมิตรฯเลิกชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นการนำ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาเป็นเครื่องมือ การไล่รื้อขอคืนพื้นที่จากพันธมิตรฯ ซึ่งชุมนุมอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานถึงถนนพิษณุโลกโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้เข้าไล่รื้อเต๊นท์และข้าวของของผู้ชุมนุมเพียงเพื่อเปิดถนนแค่ 2 เลน การที่ ศอ.รส.(ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย) แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยเอาผิดพันธมิตรฯ โดยกล่าวหาว่าลักลอบต่อกระแสไฟฟ้าจากสายไฟบริเวณถนนราชดำเนินนอกเพื่อนำไปใช้ในการชุมนุม และลักลอบใช้น้ำประปา ล่าสุดยังนำเรื่องการจัดงานกาชาดมาเป็นข้ออ้างในการขับไล่ผู้ชุมนุม ยังไม่นับรวมการเกลั่นแกล้งและข่มขู่เขย่าขวัญสารพัดวิธีเพื่อที่จะให้พันธมิตรฯหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวออกมาเป็นระยะว่าจะสลายการชุมนุม ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลการชุมนุมเดินเรียงหน้ากระดานเคาะโล่ห์ตีกระบองพร้อมส่งเสียงเพื่อเป็นการข่มขู่
     
       แต่ที่น่าอนาจใจที่สุดเห็นจะเป็นคำสั่ง 'รื้อส้วม' ที่หวังจะสร้างความลำบากให้ผู้ชุมนุม แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่สร้างความขบขันว่ารัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่มีอะไรทำแล้วหรือจึงมาเที่ยวรื้อส้วม ถึงขั้นมีการตั้งฉายาให้ ศอ.รส.ว่าเป็น 'ศูนย์อำนวยการรื้อส้วม' ขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์ก็ถูกตั้งฉายาจากชาวเฟซบุ๊กรายหนึ่งว่าเป็น “เจ้าพระยาสุขาวินาศ” พร้อมทั้งวาดภาพล้อเลียนอย่างขบขัน
     
       และนี่คงนับเป็นความ'อำมหิต' อีกอย่างของนายกฯอภิสิทธิ์ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุมแสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่ใช่แค่มาตรการกระชับพื้นที่ แต่ถึงขั้นมีคำสั่ง 'รื้อส้วม' กันเลยทีเดียว

</span>


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000031944

**********
เขมรตั้งแง่วีระ-ราตรีต้องสารภาพผิดก่อนขออภัยโทษและรัฐบาลไทยต้องดำเนินการ
ฟิฟทีนมูฟ — หัวหน้าเรือนจำเขมรเผยยังไม่ได้หนังสือทางการจากรัฐบาลหรือสถานทูตไทย ถ้าจะขออภัยโทษต้องได้รับโทษ ๒ ใน ๓  หรือไม่ทั้งคู่ต้องยอมรับสารภาพว่าทำผิดจริงที่เข้าเขมรผิดกฎหมายและจารกรรมข้อมูล นักโทษจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงนามยกเว้นสถานทูตหรือรัฐบาลไทยมีหนังสือขออย่างเป็นทางการ

<span>นายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์</span>
หนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพและเว็บไซต์ everyday.com.kh ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ รายงานความคืบหน้าการขออภัยโทษของสองคนไทย โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์สื่อกัมพูชาของหัวหน้าแผนกเรือนจำ กระทรวงมหาดไทย โดยข่าวระบุว่าหัวหน้าเรือนจำกัมพูชากล่าวว่าสองคนไทยที่ถูกจำคุก นายวีระ สมความคิด และเลขานุการส่วนตัว นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ จะต้องได้รับโทษก่อนอย่างน้อยสองในสามของโทษจำคุกของทั้งสองคน ๘ ปี และ ๖ ปี ตามลำดับ ก่อนที่จะมีสิทธิ์ยื่นขออภัยโทษ

ตามรายงานของสื่อไทย นายวีระและนางสาวราตรี กำลังรอการขออภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา ทนายชาวกัมพูชาของทั้งสองคนได้เตรียมหนังสือขออภัยโทษเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอแต่การลงนามรับรองของทั้งสองคนไทยก่อนที่จะยื่นไปขอการลงนามอนุมัติของกษัตริย์กัมพูชา
นายกวย บุนซอน<span>1</span> ผู้อำนวยการแผนกเรือนจำ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงเช้าวันที่ ๑๑ มีนาคม ว่าสองคนไทยจะไม่ได้รับอภัยโทษเนื่องจากยังไม่ได้รับโทษ ๒ ใน ๓ ของโทษจำคุกที่ถูกตัดสิน อย่างไรก็ตาม นายกวยกล่าวว่าอาจจะให้การอภัยโทษได้ถ้าทั้งคู่สารภาพและยอมรับผิดว่าได้ล่วงล้ำเข้าเขตแดนกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายและทำการจารกรรมข้อมูลตามที่ถูกดำเนินคดี
เขากล่าวว่ายังไม่ได้รับทั้งหนังสือขออภัยโทษหรือการร้องขออย่างเป็นทางการจากสถานทูตไทย และเพิ่มเติมว่าตามกฎหมายเว้นแต่เจ้าหน้าที่กัมพูชาจะได้รับคำร้องอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลหรือสถานทูตไทย ไม่อย่างนั้นนักโทษจะไม่ได้รับอนุญาตให้ประทับลายนิ้วมือหรือลงนามในหนังสือขออภัยโทษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง